เครื่องเคียงข้างจอ / วัชระ แวววุฒินันท์ / Social Distancing

วัชระ แวววุฒินันท์

เครื่องเคียงข้างจอ/วัชระ แวววุฒินันท์

Social Distancing

ตอนนี้คงไม่มีคำไหนฮอตฮิตถูกพูดถึงมากเท่าคำนี้แน่

Social Distancing

เพราะเป็นกระบวนการทางพฤติกรรมที่รัฐบาลเรียกร้องแกมบังคับให้ทุกคนยึดถือปฏิบัติเพื่อลดจำนวนการแพร่เชื้อโควิด-19 ลง หลายส่วนของสังคมก็เห็นด้วย และตอบรับกันเป็นทิวแถว

สำนักงานหลายแห่งได้ใช้มาตรการ work from home หรือทำงานจากบ้านนะจ๊ะ กันมาได้สักพักแล้ว รวมทั้งที่เจ เอส แอล ที่ทำงานของผมเองด้วย ซึ่งสำหรับผมแล้วถือว่าเป็นรสชาติกลางเก่ากลางใหม่ทีเดียว

เพราะเดิมผมก็เข้าทำงานจันทร์ถึงศุกร์ทุกวันอยู่แล้ว มีทั้งงานประชุม งานสุมหัวพูดคุย งานการผลิต หรือไม่ก็ออกไปติดต่องานภายนอก จึงคุ้นชินกับการที่ “พอถึงตอนเช้าก็ก้าวเท้าออกจากบ้าน” เหมือน “หนุ่มเมืองกรุง” เขา

ส่วนวันเสาร์-อาทิตย์ก็แทบจะใช้บ้านเป็นที่ทำงานอยู่เนืองๆ เพราะมีงานมีเรื่องให้ต้องนั่งโต๊ะ เปิดคอมพ์แล้วก็ทำงานสลับกับพักผ่อนเป็นระยะถ้าไม่ได้ออกไปไหน

จึงไม่แปลกแปร่งเมื่อต้อง work from home ขึ้นมาจริงๆ

 

แต่ที่กลับไม่ค่อยชินคือ การไม่ได้เข้าบริษัทนี่สิที่มันเปลี่ยนไป เหมือนกินข้าวแล้วไม่ได้กินน้ำยังงั้น แต่ถึงกระนั้นในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาก็แทบจะต้องแว่บเข้าบริษัทเป็นระยะ เพราะมีเรื่องต้องทำที่นั่น ทำจากบ้านไม่สะดวกก็มี

ซึ่งต้องทำความเข้าใจกับทุกคนที่ work from home เหมือนกันนะครับว่า ทุกวันนี้เป็นการ work from home ในภาวะไม่ปกติ ไม่ใช่แค่เพื่อไม่ให้คุณเดินทางไปรวมกลุ่มทำงานกันที่สำนักงานเท่านั้น แต่เป็นการกักตัวคุณให้เคลื่อนย้ายตัวเองให้น้อยที่สุด

จึงไม่ใช่ว่าพอ work from home เลยพาตัวเองไปนั่งทำงานที่ร้านกาแฟ หรือไม่ก็ไปที่ห้าง ไม่ก็ทำงานสลับกับเดินไปเซเว่นทุกสองชั่วโมง อันนี้ไม่ใช่การ work from home ในยามวิกฤตนี้แน่นอน เพราะตัวคุณยังเคลื่อนย้ายไปที่ต่างๆ ผิดวัตถุประสงค์อย่างแรง

เรื่องนี้นอกจากจะต้องทำความเข้าใจกับพนักงานแล้ว ยังต้องอยู่ที่ความเข้มงวดกวดขันของผู้เป็นหัวหน้างานเองด้วย ที่จะต้องคอยติดต่อ สอบถาม ติดตามงานอยู่ตลอดเวลา เพื่อจะบอกว่าอย่าอู้ดูแต่ซีรี่ส์นะจ๊ะ หรืออย่ามัวแต่เล่นเกมล่าแต้มเพลินล่ะ

จะว่าไปแล้วในยามนี้เป็นการวัดประสิทธิภาพของพนักงานได้ดีทีเดียว ว่ามีความรับผิดชอบแค่ไหน มีกระบวนการทำงานที่ดีเพียงไร และผลของงานก็จะชี้ได้ชัดๆ เพราะทำจากตัวเองคนเดียว บางทีตอนอยู่ที่บริษัทอาจจะดูไม่ชัดเจนนัก

แต่การ work from home ช่วยชี้ได้ชัดขึ้น

 

จากที่ฟังๆ ที่เขาแชร์ประสบการณ์การ work from home กันก็มีเกร็ดที่น่าสนใจไม่น้อย บางคนใช้วิธีหลอกตัวเองเพื่อสร้างอารมณ์การทำงานให้เกิดคือ อาบน้ำอาบท่าตามเวลาไปทำงานปกติ แล้วแต่งตัวแบบไปทำงานหรือกึ่งๆ ทำงานแล้วลงนั่งที่โต๊ะตามเวลาออฟฟิศจริงๆ

เขาว่าถ้ายังใส่ชุดนอน อารมณ์มันไม่เกิด พาลจะนอนอยู่ร่ำไป นับว่ามีความเป็นศิลปินพอตัว ต้องคอยบิลด์ตัวเอง

บางคนจะเขียนเป็นตารางการทำงานชัดๆ แบบตารางสอนเลยว่า ชั่วโมงแรกทำอะไร ชั่วโมงถัดไปทำอะไร และมีเบรกพักเพื่อผ่อนคลายเมื่อไหร่

บางคนสร้างเวลาการทำงานของตัวเองขึ้นใหม่ คือนอนยาวตื่นเที่ยง เริ่มงานบ่ายไปจนดึกแล้วค่อยนอน แต่ต้องมั่นใจว่าตารางงานของเราไม่เป็นอุปสรรคในการทำงานรวมนะ

สิ่งหนึ่งที่ผู้รู้เตือนไว้คือ การใช้ทางสายกลาง คือ ไม่ใช่ทำตัวสบายๆ เกินไป และก็ไม่ทำงานมากเกินไป ประเภทไม่ลุกเลย เบรกพักยังไม่ค่อยมี เพราะอย่างงั้นโรค office syndrome อาจถามหาได้ จึงควรจัดเวลาให้แข้งขาได้ขยับบ้าง ให้กล้ามเนื้อตาได้ผ่อนคลายจากหน้าจอบ้าง

คนที่ต้อง work from home จริงๆ เชื่อว่าไม่นานก็คงปรับตัวได้ไม่ยาก ขอให้ทำใจสบายๆ อย่าร้อนรนอะไรไปเกินเหตุ เดี๋ยวก็ชิน

ที่น่าสงสารและเห็นใจมากกว่าคือ คนที่ต้องถูกกักตัว 14 วันหรือนานกว่านั้น เพราะอยู่ในส่วนสุ่มเสี่ยง จะออกไปไหนก็ไม่ได้เลย จะปฏิสัมพันธ์กับคนในครอบครัวหรือเพื่อนฝูงก็ยังต้องระวัง นี่สิยิ่งท้าทายมากกว่าอีก

หากจะมองว่าเป็นความลำบากต่อชีวิตก็คงจะได้ แต่หากว่าเป็น “ความท้าทายที่คุ้มค่า” ก็คงไม่ผิด

 

ทําไมผมถึงว่าเป็น “ความท้าทายที่คุ้มค่า” เพราะจริงๆ แล้ว คนเราจะสุขหรือทุกข์มันอยู่ที่ใจเราทั้งสิ้น

หากเราต้องถูกกักตัวอยู่กับที่นานๆ น่าจะเป็นโอกาสดีที่เราจะได้ฝึกตัวเราให้อยู่กับตัวเองมากที่สุด ที่ผ่านมาเราอาจจะมัวคิดไปถึงเรื่องอื่นที่ไม่ใช่เรื่องตัวเราเลย เที่ยงนี้กินไหนดี ดูหนังเรื่องอะไรดี ที่ไหนมีของลดราคาบ้าง แฟนเราไปกับใครรึเปล่า (วะ) เฮ้ย ทำไมทรัมป์มันพูดกากๆ ยังงั้น

นี่เป็นโอกาสดีที่เราจะได้อยู่นิ่งๆ นั่งพิจารณาตัวเองอย่างสงบ มีสติ ไม่มีอะไรมารบกวน บางทีเราจะได้รู้จักตัวตนของเรามากขึ้นก็ได้ว่า นับแต่เกิดมาจนถึงวันนี้ เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตเราบ้าง และในแต่ละเหตุการณ์เราคิดหรือกระทำกับมันอย่างไร เราคิดอะไรถึงทำอย่างนั้น เหมาะไม่เหมาะ ดีไม่ดี

ได้คิดวิเคราะห์ตัวเองจริงๆ ว่าเราควรจะตั้งชีวิตอย่างไร ต่อจากนี้จะเดินอย่างไร คิดเผื่อไว้เลยว่าถ้าเราเกิดติดโควิดขึ้นมาจริงๆ จะทำชีวิตอย่างไรต่อ เตรียมการทุกอย่างไว้ล่วงหน้าเลย โดยวงเล็บว่า…อย่างมีสติด้วยนะ

อาจเป็นโอกาสดีที่เราจะได้วางแผนว่า อีก 5 ปี 10 ปี เราจะเป็นยังไง มองอย่างจริงจัง ตั้งใจด้วยตัวของเราเอง

 

นอกจากจะได้พิจารณาเรื่องของตัวเองแล้ว ซึ่งสำคัญอย่างมาก เรายังได้ใช้เวลาตั้ง 14 วันทำอะไรที่เราเคยบ่นว่า ไม่มีเวลาทำสักที หรือ ยังไม่ได้เริ่มต้นทำจริงจังเลย

หนังสือเป็นตั้งที่เคยซื้อมากองไว้ คราวนี้ล่ะจะได้ไล่อ่านให้สมอยาก

หนังที่อยากดูรออยู่เป็นสิบๆ เรื่อง จะนอนดูซีรี่ส์เกาหลีสักกี่เรื่องก็ได้ทำกันล่ะคราวนี้

หรืออยากเขียนหนังสือ อยากวาดรูป อยากแต่งเพลง อยากปักผ้า อยากฝึกทำอาหาร…อะไรที่เดิมไม่มีเวลาลงมือทำ ก็ถือเป็นการปักหมุดเสียที บางที 14 วันผ่านไป อาจได้นิยายดีดีเรื่องหนึ่งที่เอาไปขายต่อก็ได้ใครจะรู้

หรือที่เคยบ่น ไม่ได้ออกกำลังกายเล้ย…ไม่มีเวลาล่ะตะเอง เอาล่ะตะเอง คราวนี้เป็นได้เอวคอด พุงยุบ สะโพกลดจนพอจบ 14 วันแล้วออกไปสวยจนแฟนยังจำไม่ได้เลยแน่นอน

และหากเราได้ฝึกอย่างนี้แล้ว นั่นคือเราฝึกที่จะมี “ความสุขกับตัวเอง” ได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่วิเศษสุดแล้ว

 

ในทางพุทธศาสนา พระพุทธองค์ได้สอนให้เราเป็นที่พึ่งของเราเอง อย่าไปหวังพึ่งใคร อย่าไปยึดติดกับใคร แม้แต่ พี่ น้อง เมีย และลูก ซึ่งจริงๆ เขาก็คือคนอื่นที่โชคชะตาให้ได้มาร่วมชีวิตกันในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น สักวันพวกเขาก็ต้องจากเราไป ไม่ว่าจะจากดีหรือไม่ดีก็ตาม

สุดท้ายแล้วเราก็ต้องอยู่คนเดียวจริงๆ

หากเราฝึกให้เรามีความสุขกับตัวเองได้ เราก็จะปลด “ภาระแห่งการยึดติด” ไปได้ และนั่นคืออิสระของชีวิตที่ยั่งยืน และเป็นจริง

และเชื่อเถอะว่า โลกเรากำลังถูกบังคับให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไปในทางนี้จริงๆ คือ สุขอย่างง่ายๆ กินพอสมควร ทำพอสมควร เสพพอสมควร ไม่เบียดเบียนคนอื่น ไม่ต้องวิ่งออกไปข้างนอกเยอะๆ แต่ไม่เคยวิ่งเข้ามาในใจของตัวเองเลย

มีรายงานออกมาแล้วว่า โลกเราเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น พอโรงงานไม่สามารถผลิตอะไรได้เช่นเดิม ก็หยุดการปล่อยอากาศเสีย พอคนเราลดการเดินทางลงไม่ว่าจะบนฟ้า บนถนน หรือทางน้ำ สภาพแวดล้อมก็ดีขึ้น อากาศบริสุทธิ์ขึ้น แหล่งท่องเที่ยวมีชื่อบางแห่งน้ำใสสะอาดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

จะว่าธรรมชาติกำลังเรียกร้องและเอาคืนจากมนุษย์ก็คงไม่ผิด

ได้อ่านข่าวในยามนี้ เห็นหลายคนปรับตัวเข้าสู่วิถีแห่งการพึ่งพาตนเองแบบธรรมชาติมากขึ้น พริตตี้บางคนทิ้งเมืองกรุงกลับไปบ้านต่างจังหวัด เพราะงานอีเวนต์หดหาย จึงกลับบ้านไปปลูกผักกิน ก็ไม่อดตายแล้ว

นี่ไงคือความเรียบง่าย ความเป็นจริงแท้ของชีวิตที่เป็นคำตอบให้กับทุกเหตุการณ์ได้จริงๆ

ซึ่งก็คือ “ความพอเพียง” ของในหลวงรัชกาลที่ 9 นั่นเอง ที่เป็นตามหลักความสมดุลของธรรมชาติโดยแท้