เปิดสเป๊ก “ซีวิค แฮทช์แบ็ก” เจาะขุมพลัง “ซีอาร์-วี” ดีเซล

สันติ จิรพรพนิต

ยังไม่ผ่านไตรมาสแรกของปีนี้ แต่ค่าย “ฮอนด้า” ก็จัดหนัก-จัดเต็ม เปิดตัวรถใหม่ถึง 3 รุ่น เริ่มจาก “ฮอนด้า ซิตี้” ไมเนอร์เชนจ์ ตามมาด้วย “ฮอนด้า ซีวิค แฮทช์แบ็ก” และ “ซีอาร์-วี ใหม่” ซึ่งจะเปิดตัวในวันที่ 24 มีนาคม นี้

โดยเฉพาะการมาของ “ซีวิค แฮทช์แบ็ก” น่าจะสร้างสีสันในกลุ่ม “ซี-เซ็กเมนต์” ได้ไม่น้อย

เนื่องจากรถรุ่นนี้เป็นที่โหยหาของสาวกฮอนด้า ในเมืองไทยมานานแล้ว เพราะที่ผ่านมาฮอนด้า ซีวิค ในหลายเจเนอเรชั่นหลังๆ จะออกตัวถังแบบซีดาน (4 ประตู) และแฮทช์แบ็ก (5 ประตู) มาคู่กัน

แต่ในเมืองไทยจะทำตลาดเพียงรุ่น 4 ประตูเท่านั้น

กระทั่งในซีวิค รุ่นล่าสุดนี่แหละที่ฮอนด้า นำรุ่น 5 ประตูเข้ามาผลิตในบ้านเราด้วย

แม้เป้าหมายของ “ซีวิค แฮทช์แบ็ก” อาจไม่สูงมากนัก เพราะทางฮอนด้าหวังขายได้ปีแรก 3,500 คัน แต่จะมาร่วมด้วยช่วยกันกับซีวิค 4 ประตู ที่ตั้งเป้ายอดขายปีนี้ 19,000 คัน

รวมแล้วคาดว่าทั้งรุ่น 4-5 ประตู จะกวาดยอดขายได้ราวๆ 22,000 คัน ใกล้เคียงกับปีที่แล้ว ซึ่งฮอนด้ามีส่วนแบ่งการตลาดสูงถึง 46% เป็นผู้นำตลาดอันดับ 1 ในเซ็กเมนต์นี้

ส่วน “ซีอาร์-วี ใหม่” ที่แม้ยังไม่ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการ แต่ก็มีข่าวออกมาแล้วว่ารุ่นนี้พิเศษสุด เพราะมีเครื่องยนต์ “ดีเซล” มาให้เลือกด้วย

จริงๆ “ยานยนต์ สุดสัปดาห์” เคยนำเสนอไปในฉบับต้นปีที่รวมรถใหม่ปีนี้ว่า “ซีอาร์-วี ใหม่” เครื่องดีเซล มาแน่

เนื่องจากปีที่แล้วฮอนด้า นำ “ซีอาร์-วี” เครื่องดีเซล มาลองวิ่งทดสอบจริงบนถนนเมืองไทย

รวมถึงนำน้ำมันดีเซล ที่ขายในประเทศไทยส่งเข้าห้องแล็บตรวจสอบคุณภาพและค่ามาตรฐานอย่างละเอียดด้วย

“ฮอนด้า ซีวิค แฮทช์แบ็ก” ใช้พื้นฐานเดียวกับ “ซีวิค” เจเนอเรชั่นที่ 10 ซึ่งเปิดตัวในเมืองไทยเมื่อปีที่แล้ว

ออกแบบภายใต้แนวคิด “Exciting Hatch!” เน้นการออกแบบในสไตล์ที่ล้ำสมัย เส้นสายด้านข้างคมชัด ตัวถังส่วนหน้าแบบเดียวกันกับ “ซีวิค ใหม่” แต่ระยะตัวถังตั้งแต่เสากลาง หรือ B-Pillar ไปจนถึงด้านท้ายของตัวรถได้รับการออกแบบใหม่ โดยแนวเส้นหลังคาด้านท้ายจะมีความสูงมากกว่ารุ่นซีดาน ความยาวตัวถังจะสั้นลงนิดหน่อย

กันชนหน้าดีไซน์สไตล์สปอร์ตรูปรังผึ้ง ไฟหน้าแบบ LED และไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ LED ผสานกับลวดลายเส้นสายบนตัวถังที่พาดผ่านตั้งแต่ด้านหน้าตัวรถยาวไปบรรจบกับขอบไฟท้ายรูปทรงตัว C แบบ LED

กันชนท้ายถูกออกแบบให้มีเหลี่ยมสันที่สวยงาม พร้อมเพิ่มความโดดเด่นสะดุดตาในสไตล์สปอร์ตด้วยช่องระบายอากาศดีไซน์รูปรังผึ้ง

ห้องโดยสารออกแบบภายใต้แนวคิด “Daring ACE Design” โดยยังคงยึดหลัก “Man Maximum, Machine Minimum” ที่ให้ความสำคัญกับผู้ขับขี่และผู้โดยสารเป็นหลัก

รวมถึงการพัฒนาให้มีระยะฐานล้อที่เพิ่มขึ้น และตัวถังที่กว้างขึ้น ทำให้ห้องโดยสารกว้างขวางสะดวกสบาย

พวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชั่น พร้อมปุ่มควบคุมระบบเครื่องเสียง และปุ่มรับ-วางสายโทรศัพท์

มาตรวัดแบบดิจิตอล พร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ TFT ซึ่งสามารถแสดงผลฟังก์ชั่นการใช้งานที่หลากหลาย โดยสามารถสลับเปลี่ยนข้อมูล และค้นหาตัวอักษรได้ง่ายด้วยปุ่มควบคุม

มีระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Cruise Control System) ระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย (Paddle Shift) ระบบสตาร์ตเครื่องยนต์แบบอัจฉริยะ (One Push Ignition System)

แผงหน้าปัดด้านบนออกแบบให้เป็นชิ้นเดียวกัน ทำให้พื้นที่ช่วงหัวเข่าของที่นั่งด้านคนขับกว้างขวางขึ้น

แผงคอนโซลกลางได้รับการออกภายใต้แนวคิด “Tech Center” ซึ่งเปรียบเสมือนศูนย์กลางเทคโนโลยี ด้านบนแยกออกเป็น 2 ชั้น เพื่ออำนวยความสะดวกในการเชื่อมต่อสมาร์ตโฟนเข้ากับช่องเชื่อมต่อ

ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว แบบ Advanced Touch ควบคุมฟังก์ชั่นความบันเทิง พร้อมระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์แบบไร้สาย (Bluetooth) และช่องเชื่อมต่อ USB ที่รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay

ระบบสตาร์ตเครื่องยนต์ พร้อมเครื่องปรับอากาศด้วยกุญแจรีโมต (Engine Remote Start) สามารถสั่งการได้จากระยะไกลเพื่อช่วยอุ่นเครื่องยนต์ และเปิดระบบปรับอากาศให้ห้องโดยสารเย็นสบายล่วงหน้า

โดยขณะที่เครื่องยนต์สตาร์ตจากรีโมต ประตูรถจะยังคงล็อกเช่นเดิม และรถจะยังไม่อยู่ในสถานะที่พร้อมออกตัวได้ จนกว่ากุญแจรีโมตและผู้ขับขี่จะอยู่ภายในตัวรถ และกดปุ่มสตาร์ตการทำงานของเครื่องยนต์ภายในรถอีกครั้ง

เบาะนั่งด้านคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง เบาะนั่งผู้โดยสารด้านหน้าปรับไฟฟ้า 4 ทิศทาง ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบปรับอุณหภูมิแยกอิสระซ้าย-ขวา

พื้นที่บรรจุสัมภาระด้านท้าย 414 ลิตร โดยพนักพิงของเบาะหลังสามารถปรับพับแยกได้แบบ 60:40 และความสูงของห้องเก็บสัมภาระด้านท้ายสูง 679 มิลลิเมตร

หากปรับพับเบาะที่นั่งด้านหลังลงทั้งหมดจะช่วยเพิ่มพื้นที่ความจุได้มากยิ่งขึ้น มาพร้อมม่านปิดสัมภาระที่สามารถเลือกปิดเก็บได้ทั้งซ้ายหรือขวา เพื่อป้องกันการมองเห็นสัมภาระที่อยู่ด้านท้าย

ขุมพลังเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร DOHC VTEC TURBO พร้อมด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติ CVT ใหม่ ที่พัฒนาภายใต้เทคโนโลยีเอิร์ธดรีม ให้กำลังสูงสุด 173 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 220 นิวตัน-เมตร

“ซีวิค แฮทช์แบ็ก” มีรุ่นเดียว คือ HATCHBACK TURBO ราคา 1,169,000 บาท มีทั้งหมด 5 สี ได้แก่ สีใหม่ ดำมิดไนต์เบอร์กันดี (มุก) และอีก 4 สี ได้แก่ สีขาวออร์คิด (มุก) สีดำคริสตัล (มุก) สีเทาโมเดิร์นสตีล (เมทัลลิก) และสีเงินลูนาร์ (เมทัลลิก)

สีขาวออร์คิด (มุก) เพิ่ม 10,000 บาท ส่วนสีดำมิดไนต์เบอร์กันดี (มุก) และสีดำคริสตัล (มุก) เพิ่ม 6,000 บาท

ปิดท้ายสัปดาห์นี้ขอยั่วน้ำลายคุณผู้อ่านด้วยข้อมูลคร่าวๆ ของ “ซีอาร์-วี” ใหม่

รุ่นนี้เปิดตัวที่เมืองนอกไปแล้วและไม่ธรรมดาเพราะคว้ารางวัล “Best Compact SUV 2017” หลังจากการลงตลาดที่สหรัฐอเมริกาเพียง 2 เดือนเท่านั้น

จุดเด่นในรุ่นดีเซล ไม่พ้นใช้เครื่องยนต์ i-DTEC ดีเซลเทอร์โบ ขนาด 1.6 ลิตร หนึ่งในนวัตกรรมการขับเคลื่อนอัจฉริยะจากฮอนด้า ที่มาพร้อมระบบเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด

วิจัยและพัฒนาโดยทีมวิศวกรฮอนด้าประเทศญี่ปุ่น ภายใต้เทคโนโลยีเอิร์ธดรีม (Earth Dreams Technology) ที่ให้ความสำคัญทั้งในเรื่องสมรรถนะการขับขี่ อัตราการประหยัดน้ำมัน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

หัวใจสำคัญคือ การทำงานของระบบเทอร์โบชาร์จเจอร์ 2 จังหวะ ผสานการทำงานร่วมกันทำให้ทั้งกำลังแรงบิดและอัตราเร่งออกมาอย่างเต็มประสิทธิภาพในทุกย่านความเร็ว

ให้กำลังสูงสุด 160 แรงม้า ที่ 4,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุดที่ 350 นิวตัน-เมตร ที่ 2,000 รอบต่อนาที เทียบเท่ากับเครื่องยนต์ดีเซลขนาดใหญ่

อัตราการประหยัดน้ำมันสูงถึง 18.9 กิโลเมตร/ลิตร เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วยการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำเพียง 141 กรัม/กิโลเมตร

24 มีนาคม นี้ ได้เห็นตัวเป็นๆ กันครับ ว่าจะ “แจ่ม” ขนาดไหน