ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 27 มีนาคม - 2 เมษายน 2563 |
---|---|
คอลัมน์ | ชกคาดเชือก |
ผู้เขียน | วงค์ ตาวัน |
เผยแพร่ |
สถานการณ์โควิดเริ่มคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้นในหลายประเทศ แต่ในหลายประเทศอยู่ในช่วงยังเลวร้ายหนัก จนคาดการณ์กันว่า ดีไม่ดีปีนี้ทั้งปีโลกอาจจะต้องจมอยู่กับโรคระบาดนี้จนโงหัวไม่ขึ้น บอบช้ำอัมพาตไปตลอดทั้งปีเลยทีเดียว
กีฬาใหญ่ๆ ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยูโร รวมทั้งโอลิมปิกต้องเลื่อนไปปีหน้าแล้วทั้งสิ้น
“2563 หรือ 2020 จะกลายเป็นปีที่มวลมนุษยชาติต้องป่วยไข้กับโรคระบาดที่ปกคลุมโลกทั้งใบ”
สำหรับประเทศไทยเรา ที่โครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจเสียหายมาตลอดยุครัฐบาลทหาร และยังเข้าสู่ยุครัฐบาลเลือกตั้งที่มีผู้นำเป็นนายกฯ รัฐบาลทหารคนเดิม กุมอำนาจโดยแกนนำ คสช.ชุดเดิม จึงยากจะฟื้นได้ง่ายในปี 2563 นี้อยู่แล้ว
พอมาเจอโควิดเข้าให้ สภาพเศรษฐกิจต้องพังพินาศโดยสิ้น จากนี้ไปถ้ายังไม่มีรัฐบาลที่มากด้วยความสามารถ มีวิสัยทัศน์กว้างไกล เฉียบคมฉับไว การฟื้นฟูสภาพบ้านเมืองและสภาพเศรษฐกิจก็มืดมนอย่างมาก
“ชะตากรรมของประชาชนคนไทย อาจจะหนักกว่าชาวโลก แม้ว่าจะต้องเผชิญโควิดไม่ต่างกัน แต่พื้นฐานทางเศรษฐกิจเดิมและความเก่งกาจสามารถในอนาคตข้างหน้านี้ เราน่าจะมีปัญหากว่าหลายๆ ชาติ!”
นั่นเป็นเพราะเราได้รัฐบาลที่เข้ามาเพื่อภารกิจด้านอื่น นั่นคือการกุมอำนาจการเมืองเพื่อควบคุมไม่ให้เกิดการพัฒนาก้าวหน้าแนวเสรีนิยม ทุนนิยม
เป็นรัฐบาลที่เน้นความมั่นคง ตีกรอบฝ่ายนักการเมืองไม่ให้เติบโต โดยเฉพาะฝ่ายทักษิณ
แทนที่การเมืองจะดำเนินไปตามธรรมชาติ ภายใต้หลักประชาธิปไตย โดยประชาชนส่วนใหญ่เป็นผู้ตัดสินใจ
“นั่นจะทำให้การเมืองไทยเปิดกว้าง ได้นักการเมืองแนวคิดใหม่ๆ ก้าวหน้าทันสมัย ผลักดันประเทศให้พัฒนาไปพร้อมกับความก้าวหน้าของโลก”
แต่กลับกลายเป็นการเมืองยุคที่ฉุดให้ถอยหลัง เพื่อสร้างการเมืองแบบอนุรักษนิยมย้อนยุค
ผลก็คือ เมื่อเกิดวิกฤต ระดับมหาวิกฤตการณ์ เราจึงขาดคนเก่งกาจสามารถในการรับมือกับสถานการณ์เลวร้ายนี้
รัฐบาลทหารเมื่อ 5 ปีก่อน มาสู่รัฐบาลทหารที่มีประชาธิปไตยการเลือกตั้งเป็นเพียงเสื้อคลุม
จู่ๆ มาเจอไวรัสระดับล้างโลก ฝีไม้ลายมือในการต่อกรระดับรัฐบาลเรา จึงเกิดสภาพอย่างที่เห็นๆ กันนี่แหละ!!
การประกาศใช้ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อสถานการณ์โควิดในบ้านเราเริ่มรุนแรงมากขึ้นเป็นลำดับ ภาพรวมก็เหมือนกับว่า รัฐบาลต้องการกฎหมายพิเศษและอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเพื่อแก้ปัญหา ทั้งต้องใช้กำลังเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ทหาร ตำรวจ เข้ามาควบคุมอย่างเข้มข้น
แต่เกิดข้อวิพากษ์วิจารณ์มากมาย
“อันดับแรก ปัญหาที่ผ่านมา ไม่ได้มาจากกฎหมายที่อ่อนแอ ไม่ได้เกิดจากรัฐบาลไม่มีอำนาจเพียงพอแต่อย่างใด การหันมาใช้กฎหมายพิเศษ อำนาจพิเศษ ถูกจุดแล้วหรือ!?”
อันดับต่อมา เมื่อมีการตั้งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ศอฉ. ทำให้นึกถึงภาพ ศอฉ.เมื่อปี 2553 ที่ลงเอยเป็นเหตุการณ์ 99 ศพ เพราะเน้นใช้กำลังทหารเข้ามาจัดการปัญหา
แต่แน่นอน การใช้ทหารเข้ามาควบคุมตรวจตราเข้มข้นในสถานการณ์โควิด คงไม่มีการปราบแบบปี 2553 เพราะเป็นเรื่องโรคระบาด ไม่ใช่เรื่องม็อบ
“แต่คำถามก็คือ นักรบหลักในการสู้กับโควิด คือ หมอ พยาบาล เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ใช่หรือไม่”
เมื่อกำลังหลักไม่ใช่กำลังทหาร
“การใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และ ศอฉ. เพื่อจัดการกับโควิด จึงน่างุนงงไม่น้อย”
กระนั้นก็ตาม ความที่รัฐบาลนี้เก่งกาจเรื่องความมั่นคง ก็คงคุ้นชินกับอำนาจ พ.ร.ก.นี้มากกว่าอย่างอื่น
ขณะเดียวกันการใช้อำนาจพิเศษและกำลังทหารตำรวจก็อาจจะช่วยได้ในการควบคุมผู้คนไม่ให้ออกจากบ้าน ไม่ให้เดินทางข้ามจังหวัด สกัดกั้นชายแดนเข้มข้น ตามตัวคนที่เป็นกลุ่มเสี่ยงแต่หลบเลี่ยงไม่มาตรวจ
ไปจนถึงการตรวจค้น จับกุม การกักตุนสินค้า การโก่งราคา
“ในแง่นี้ก็พอเข้าใจได้!”
แต่เมื่อนึกถึงกำลังหลักในการจัดการกับโควิด ก็ควรต้องมีการทุ่มเทงบประมาณ เครื่องไม้เครื่องมือให้กับหมอ พยาบาล เสริมสวัสดิการต่างๆ ให้กับคนในส่วนนี้ด้วย
อีกทั้งที่ทั่วสังคมออกมาดักคอรัฐบาลเมื่อมีการงัด พ.ร.ก.ฉุกเฉินออกมาใช้ก็คือ ต้องมุ่งจัดการโรคระบาดเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อแอบแฝงทางการเมืองและความมั่นคง แอบใช้อำนาจพิเศษจัดการกับคนคิดต่างที่วิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลในเหตุการณ์นี้ ไปจนถึงการมุ่งเป้านักการเมืองฝ่ายการเมืองที่ตรวจสอบรัฐบาลอีกด้วย
อำนาจพิเศษต้องปราบโควิด ไม่เกินเลยไปถึงการปิดกั้นกระแสสังคมปิดความคิดเห็นเขย่ารัฐบาล
ประชาชนคนไทยที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์โควิดอันรุนแรง ซึ่งมีผลทั้งด้านสุขภาพร่างกาย ไปจนถึงเศรษฐกิจการค้า กิจการต่างๆ ต้องปิดระนาว คนตกงานจำนวนมาก และมองต่อไปในอนาคตช่วงฟื้นฟูประเทศก็น่าเป็นห่วง
ไปจนถึงคนที่เคยร่วมกันเชื้อเชิญทหารให้เข้ามาสู่อำนาจในปี 2557
ต่างเริ่มคิดหนักว่า ถ้าการเมืองไทยเราพัฒนาไปตามธรรมชาติปกติ ยึดแนวทางประชาธิปไตย ใช้เสียงของประชาชนส่วนใหญ่เป็นเครื่องตัดสิน
“ไม่มีคนกลุ่มหนึ่งมาคิดแทนคนส่วนใหญ่ มากำหนดเอาเองว่าประชาธิปไตยไทยต้องแค่ไทยๆ มีขั้นตอนควบคุมการเองไม่ให้โตเร็ว มีกำหนดกรอบข้างหน้าอีก 20 ปี”
วันนี้การเมืองเราอาจพัฒนาก้าวหน้าไปในทางที่ดีกว่านี้ รวมทั้งต้องได้รัฐบาลที่มีคนรุ่นใหม่ คนคิดใหม่ คนทันสมัย เข้าใจโลก มีแนวทางแก้ปัญหาระดับวิกฤตที่เฉียบคมกว่านี้
“สถานการณ์บ้านเราในยุคไวรัสอาจจะดีกว่านี้!”
เพราะประเทศเราก็เคยผ่านเหตุการณ์ร้ายแรงระดับมหาวิกฤตมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นโรคซาร์ส โรคเมอร์ส ไข้หวัดนก ไปจนถึงภัยพิบัติร้ายแรงสึนามิ
รัฐบาลในยุคสมัยนั้น ซึ่งเป็นยุคของคนคิดใหม่ ทันสมัย วิสัยทัศน์กว้างไกล สามารถรับมือกับมหาวิกฤตนั้นได้เป็นอย่างดี
จนเป็นภาพเปรียบเทียบชัดเจนในวิกฤตโควิดหนนี้
“ผู้นำในภาวะวิกฤต เห็นได้เมื่อเจอระดับมหาวิกฤตการณ์”
เมื่อมานั่งทบทวนชะตากรรมประเทศชาติในวิกฤตนี้ ก็ต้องยอมรับว่า สภาพการเมือง สภาพของประชาธิปไตย มีส่วนสำคัญอย่างมาก
อำนาจการเมืองมีส่วนกำหนดความเป็นไปของประเทศแทบทุกด้าน
ไม่มีใครรู้ว่า ปลายปี 2562 หรือ 2019 จะเกิดโรคภัยร้ายแรงและระบาดล้างโลกทั้งใบในปี 2563 หรือ 2020 นี้
เป็นมหาวิกฤตที่ต้องได้รัฐบาลที่มากด้วยความสามารถจริงๆ จึงจะรับมือได้ และเมื่อโรคภัยผ่านพ้นไป ยังต้องเก่งกาจมากพอที่จะฟื้นบ้านเมืองได้รวดเร็ว
ถ้าย้อนเวลาได้ หลายคนคงไม่อยากให้บ้านเมืองเราถอยครั้งใหญ่ล้าหลังไปสุดกู่ในเหตุการณ์เมื่อปี 2557!!