เมอร์คิวรี่ : วิกฤตการณ์ “สนามมวย vs โควิด-19” ยุทธการณ์ “ลงทัณฑ์ vs เว้นระยะ” สังคม

สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือ “โควิด-19” ทวีคูณวงกว้างไปทั่วทั้งโลก รวมทั้งในประเทศไทยที่มีผู้ติดเชื้อแล้วหลายร้อนจนถึงพันคน ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่า สาเหตุหลักมาจากสนามมวยศึกใหญ่ที่มีผู้เข้าไปชมการแข่งขันเป็นจำนวนหลายพันคนเลยทีเดียว

สร้างความแตกตื่น หวาดผวา และวิตกกังวลให้กับสังคมไทย ซึ่งพบว่า ผู้ติดเชื้อโควิด-19 จำนวนมากมาจากคนวงการมวยหลังจากเข้าไปชมการแข่งขันมวยไทยนัดใหญ่ รายการ” “ลุมพินีเกียรติเพชร”” ที่สนามมวยเวทีลุมพินี ถนนรามอินทรา ก.ม.2 เมื่อวันที่ 6 มีนาคมที่ผ่านมา…

หลังจากจบสังเวียนมวยศึกใหญ่แค่สัปดาห์เดียว คนวงการมวยรายแรกที่ออกมาประกาศว่าติดเชื้อโควิด-19 คือ” “สกล มวยตู้”” เซียนมวยชื่อดัง

และต่อมาไม่กี่ชั่วโมง” “แมทธิว ดีน”” พิธีกรและนักแสดงชื่อดังที่ทำหน้าที่พิธีกรในการชก ออกมาประกาศผ่านอินสตาแกรมของตัวเองว่า ติดเชื้อโควิด-19 เช่นกัน

เวลาถัดมาอีกไม่นาน กลายเป็นไฟลามทุ่มเมื่อบรรดาคนวงการมวยต่างพากันติดเชื้อไวรัส-19 เป็นหลักร้อยคน ซึ่งว่ากันว่า ในการรวมตัวเชียร์มวยศึกใหญ่ครั้งนั้นมีเซียนมวยรายหนึ่งที่คนในครอบครัวเพิ่งกลับจากประเทศอิตาลี และได้เข้าชมมวยนัดดังกล่าวด้วย

จนกลายเป็นแหล่งแพร่กระจาย “Super Spreader” ของโรคติดต่อนี้ในเมืองไทย

ยิ่งไปกว่านั้น เซียนมวยบางคนไม่ได้กักตัวเอง 14 วัน แถมยังมีการเดินสายไปเล่นพนันในหลากหลายรูปแบบ ทั้งพนันไก่ชน เวทีมวยภูธร พนันวัวชน สร้างความเสี่ยงเพิ่มขึ้น

อีกด้านหนึ่งเซียนมวยบางรายกลับบ้านทำให้คนในครอบครัวทั้งภรรยา ทั้งลูก ทั้งพ่อ ทั้งแม่ รวมถึงญาติพี่น้องของพวกเขาเองมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้ออีกด้วย

 

ขณะที่ทางรัฐบาลพยายามควบคุมการแพร่เชื้อจากสนามมวยเวทีลุมพินี โดยกระทรวงมหาดไทย จึงออกคำสั่งถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด ปิดสถานที่ชั่วคราวในสถานที่ที่เสี่ยงต่อการแพร่เชื้อ จนเป็นเหตุมาจนถึงการปิดสถานที่ต่างๆ ปิดจังหวัด แต่ก็ยังไม่สามารถควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดได้ทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ ณ ขณะนี้ไม่ใช่การตามล่าหาแม่มดจากวงการมวย ซึ่งต่างถูกตราหน้าว่า เป็นต้นเหตุของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างวงกว้างในเมืองไทย ซึ่งในปัจจุบันสังคมโซเชียลกำลังเดือดระอุ เพราะคนมองกันว่า เซียนมวยเหล่านั้นเป็นที่รังเกียจของสังคม ตกเป็นเป้าโจมตี เป็นจำเลยของสังคม

บรรดาคนวงการมวยกำลังต่อสู้ฝ่าพันวิกฤตไวรัสโควิด-19 ด้วยการรักษาตัวอยู่ที่สถานพยาบาล บางรายก็กักตัวเอง เพื่อเฝ้าระวังอาการ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อสภาพจิตใจของพวกเขาอยู่แล้ว ยิ่งมาโดนการลงทัณฑ์ทางสังคมด้วยการ “Social Sanction”

ยิ่งทำให้พวกเขากลายเป็นตัวร้ายที่แทบไม่มีพื้นที่ในสังคม

 

“เสี่ยโบ๊ท” “ณัฐเดช วชิรรัตนวงศ์” โปรโมเตอร์ค่ายเพชรยินดีอะคาเดมี่ ระบุว่า อยากให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจและเห็นใจ ให้กำลังใจกันดีกว่า เพราะไม่มีใครอยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้แน่นอน เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ต้องหาทางรักษาให้หาย และป้องกันการแพร่เชื้อต่อไปให้ดีที่สุด อยากให้คิดในด้านของอกเขาอกเรา ใจเขาใจเรา

“อยากให้เห็นใจ และเข้าใจทุกคน ที่ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 นี้ ไม่ใช่เฉพาะคนที่มาจากสนามมวยเท่านั้น คนไทยทุกคนต้องการกำลังใจ และต้องการพลังในการต่อสู้กับเชื้อไวรัสร้ายนี้ เพื่อมีชีวิตอยู่ต่อไป” เสี่ยโบ๊ทกล่าว

ขณะที่ “มิสเตอร์ป๋อง” “พินิจ พลขัน” พิธีกรมวยชื่อดังที่ติดเชื้อโควิด-19 เช่นกัน บอกว่า บางคนขาดความเข้าใจในการสื่อสารกับคนอื่น ขาดความรู้เกี่ยวกับผู้ติดเชื้อ แน่นอนว่าคนที่ติดเชื้อเป็นเหมือนบุคคลอันตรายแล้ว แต่สิ่งที่น่าห่วงคือ ครอบครัวของคนที่ติดเชื้อถูกมองเหมือนเป็นตัวกาลกิณี ขอให้มีมนุษยธรรมกับบรรดาคนที่ติดเชื้อบ้าง อย่ามองกันไปขนาดนั้นเลย

“ครอบครัวหลายคนบ่นให้ฟังว่า เดือดร้อนหนัก โดนมองเป็นตัวประหลาด เช่น ถ้าสามีติดเชื้อ ลูกก็ต้องติดเชื้อ ญาติต้องติดเชื้อ แนะนำว่า ช่วงนี้ถ้าใครไม่มีความจำเป็นจริงๆ ไม่ควรออกจากบ้าน เพราะสถานการณ์ตอนนี้มีความสุ่มเสี่ยง ถ้าจำเป็นก็ต้องใส่หน้ากากป้องกัน ตื่นกลัวได้ แต่อย่าตื่นตระหนก คนที่ติดเชื้อก็ไปตรวจ ไปรักษา แค่นั้นเอง” มิสเตอร์ป๋องกล่าว

 

ยุทธการการลงทัณฑ์ทางสังคม “Social Sanction” ไม่ใช่ทางออกของการแก้ปัญหาของโรคติดต่อโควิด-19 ในครั้งนี้ แต่มาตรการสำคัญในการฝ่าวิกฤตใหญ่คือ ยุทธการการร่วมมือกันเว้นระยะห่างทางสังคม “Social Distance” เพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสล้างโลกในครั้งนี้

วิกฤตการณ์จากสนามมวยลามไปถึงโควิด-19 ในครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงการต่อสู้กันของ 2 ยุทธการที่กำลังเกิดขึ้นในสังคมไทย คือ ลงทัณฑ์ทางสังคม Social Sanction vs การร่วมมือกันเว้นระยะห่างทางสังคม Social Distance ซึ่งขึ้นอยู่กับผู้คนในสังคมว่า จะเลือกยุทธการไหนในการร่วมกันแก้ไขวิกฤตการณ์?!

แต่อีกประเด็นสำคัญที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ก็คือ การแก้ไขสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ของรัฐบาล ที่คิดและทำช้าจนเกินไป จากจุดแรกถ้าหากสั่งสถานที่ตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคมก็จะไม่เกิดการแพร่เชื้อจากสนามมวย และมาสั่งปิดสถานที่ในภายหลังก็ยิ่งทำให้ประชาชนทยอยนำเชื้อกลับไปแพร่ยังต่างจังหวัดกระจายไปทั่วทุกภาคอีกด้วย

สถานการณ์ของเมืองไทยได้ถอดโมเดลมาจากประเทศอิตาลี ซึ่งไม่สามารถควบคุมเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ทันท่วงที และปล่อยให้เชื้อแพร่กระจายออกไปในวงกว้าง โดยทางออกวิกฤตครั้งนี้ทุกคนจะต้องร่วมมือร่วมใจกันในการกักตัว อยู่บ้าน ลดการแพร่เชื้อ ซึ่งเชื่อว่า ถ้าทุกคนร่วมมือร่วมใจกันจะทำให้สถานการณ์คลี่คลายได้ในเวลาไม่นาน…

จากต้นเหตุหลักของการแพร่เชื้อจากสนามมวยเวทีลุมพินี ไม่ใช่จำเลยของสังคม รวมทั้งผู้ติดเชื้อทุกคนก็ไม่ใช่ผู้ร้ายของประเทศ ดังนั้น เราไม่ควรที่จะใช้การลงทัณฑ์ทางสังคม Social Sanction เพราะนั่นไม่ใช่ทางออกของการแก้ปัญหาวิกฤตการณ์เชื้อไวรัสโควิด-19 ในครั้งนี้

แต่การแก้ไขปัญหาคือ การเว้นระยะห่างทางสังคม Social Distance ที่จะช่วยให้สถานการณ์การแพร่กระจายเชื้อลดลงได้อย่างแน่นอน ซึ่งแม้จะต้องเจอกับเหตุการณ์เลวร้ายอีกสักแค่ไหน ถ้าหากทุกฝ่ายร่วมมือร่วมใจกันทำตามมาตรการที่กำหนดไว้

อีกไม่นานสถานการณ์จะคลี่คลาย และผ่านวิกฤตการณ์ครั้งนี้ไปได้อย่างแน่นอน…