คำ ผกา | ออกไป

คำ ผกา

การระบาดของโควิด-19 ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า รัฐบาลที่ไม่ได้มาจากประชาชนเป็นรัฐบาลที่ไร้ความสามารถ

ไม่เพียงแต่ล้มเหลวในการบริหารประเทศในภาวะปกติ – ซึ่งก็แย่พออยู่แล้ว – ในภาวะวิกฤต เช่น ภาวะโรคระบาด รัฐบาลเช่นนี้ไม่เพียงแต่ล้มเหลว แต่ยังชักนำความหายนะมาอยู่ประเทศชาติ บ้านเมืองและประชาชนได้ครบทุกมิติอย่างเหลือเชื่อ

ตั้งแต่เริ่มมีการระบาดของโควิด-19 ในจีน สิ่งที่ประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวจีนจำนวนมาก ควรจะรีบยกเลิกทุกไฟลต์บินจากเมืองจีน แต่เราก็ไม่ได้ทำ

ในช่วงที่เริ่มมีการระบาด เราควรมีขั้นตอนในการคัดกรองคนจากสนามบิน และทุกด่าน ทุกท่าเรือที่มีการเดินทางเข้า-ออก – เราก็ไม่ได้ทำ

สำหรับคนที่เดินทางมาจากต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นแรงงาน หรือไฮโซ ไม่ว่าจะเป็นประเทศที่เสี่ยงมากหรือเสี่ยงน้อย รัฐต้องมีมาตรการให้คนเหล่านั้นกักตัวเองอย่างน้อย 14 วัน การกักตัวเองต้องไม่ใช่การขู่ บังคับ จับคนไม่กักตัวไปขังคุก แต่รัฐควรเปิดทางเลือกว่า จะมากักตัวโดยรัฐเป็นผู้อำนวยความสะดวกในการกักตัวให้ หรือ จะไปกักตัวที่บ้าน ซึ่งรัฐก็จะอำนวยความสะดวกให้เช่นกัน

อำนวยความสะดวกอย่างไร?

สำหรับคนที่ไม่สะดวกจะกักตัวที่บ้าน เช่น ไม่มีพื้นที่ส่วนตัว บ้านเล็ก อยู่อาศัยกันหลายคน มีเด็ก มีคนแก่ คนเหล่านี้สามารถแสดงความจำนงกับรัฐว่า ขอกักตัวในสถานที่ที่รัฐจัดให้ แล้วสถานที่ที่รัฐจัดให้ต้องไม่อนาถา (ไม่ได้แปลว่าจะเรียกร้องให้เหมือนโรงแรม 5 ดาว)

แต่ต้องเป็นสถานที่ที่รัฐทำและออกแบบมาด้วยสำนึกแห่งการเคารพในความเป็นคนของพลเมือง

ไม่ใช่ไปยึดโทรศัพท์เขา จับเขานอนมุ้งครอบ ไม่มีห้องน้ำให้อย่างเพียงพอ

การจัดสถานที่กักตัวที่ดีในที่นี้คือจัดแบบให้เกียรติความเป็นคนของเขาด้วย – ซึ่งอันนี้รัฐก็ไม่ได้ทำ

สำหรับคนที่อยากกักตัวที่บ้าน เพราะอุ่นใจกว่า เพราะบ้านมีพื้นที่สะดวกสบาย จึงไม่อยากเป็นภาระของรัฐ หรือจะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ รัฐต้องจัดหาชุดอุปกรณ์เพื่อการกักตัวให้เขา ตั้งแต่อาหาร สิ่งบันเทิงคลายเครียด

เช่น ไต้หวันสมัครสมาชิกแอพพลิเคชั่นบันเทิงต่างๆ ให้ผู้กักตัวใช้ฟรี ต้องมีการติดตาม พูดคุยว่า พวกเขาที่กักตัวอยู่เป็นอย่างไรบ้าง ไม่ใช่เพื่อสอดแนมพฤติกรรม แต่เพื่อติดตามอาการ ความเป็นอยู่ คุณภาพชีวิตของพวกเขา

ถามว่า เหล่านี้รัฐไทยได้ทำไหม? คำตอบคือไม่

หลายคนอาจจะบอกว่า เรียกร้องจากรัฐมากไปหรือเปล่า ทำไมไม่รู้จักช่วยตนเอง ฟังๆ ดูแล้ว จะต้องใช้กำลังคน ใช้งบฯ เยอะนะเนี่ย

ใช่ ใช้กำลังคนเยอะ ใช้งบฯ เยอะ แต่รัฐบาลไทยก็ใช้คนและใช้เงินกับเรื่องที่ไม่เป็นประโยชน์กับประชาชนสักนิดมาตั้งเยอะแล้ว ทำไมเรื่องที่เกี่ยวกับความเป็นความตายของประชาชนแค่นี้จะทำไม่ได้

ไม่ใช่แค่อำนวยความสะดวกในการกักตัว รัฐต้องสามารถใช้ข้อมูลจากหน่วยงานประกันสังคม หรือสอบถามถึงอาชีพ รายได้ของผู้กักตัว และอาจต้องกำหนดเป็นมาตรฐานเอาไว้ว่า คนที่มีรายได้ไม่เกินเท่าไหร่? มีภาระเลี้ยงดูพ่อ-แม่ที่แก่เฒ่า หรือเลี้ยงลูกที่กำลังเรียนหนังสือ คนเหล่านี้ในระหว่างกักตัวที่ไม่มีรายได้ รัฐต้องจ่ายเงินชดเชยให้เขาระหว่างที่เขากักตัวอยู่

ทำได้อย่างนี้คนก็จะไม่อิดออดที่จะกักตัว

อย่ามาพูดว่าคนเราต้องมีจิตสำนึก ความรับผิดชอบต่อโลกต่อสังคม

เพราะคำพูดสวยๆ เหล่านั้นมันจะไม่มีความหมาย ถ้าเราจะต้องประสบความยากลำบากในทางเศรษฐกิจ แรงจูงใจที่จะทำเพื่อโลกเพื่อสังคม มันก็จะน้อยลงโดยปริยาย

รัฐไม่มีหน้าที่มาเรียกร้อง “จิตสำนึก” จากประชาชน แต่รัฐมีหน้าที่ “สร้างแรงจูงใจ” ให้ประชาชนทำในสิ่งที่รัฐอยากให้ทำ

เช่น รัฐอยากจำกัดภาวะการระบาดขอโรคด้วยการให้ประชาชนกลุ่มเสี่ยงกักตัว รัฐต้องทำทุกอย่างให้การกักตัวนั้น ง่าย สะดวก สบาย ไม่สูญเสียรายได้

หรือแม้กระทั่งต้องทำให้การกักตัวนั้นมีความสุขตามอัตภาพ

ถามว่า รัฐบาลไทยได้ทำไหม?

คำตอบคือไม่ได้ทำ นอกจากจะไม่ทำ คนไทยที่ชอบสำเร็จความใคร่ทางศีลธรรมแบบไม่รู้สี่รู้แปดทั้งหลายยังได้เที่ยวพ่นน้ำลายใส่คนอื่นว่า “เป็นปัญญาชนกันแล้ว ทำไมไม่รู้จักปิดบ้าน ปิดช่อง แล้วอย่าออกไปไหน เอะอะก็จะให้รัฐช่วย”

ฮ่วย นี่มันหน้าที่ของรัฐ และนี่ไม่ใช่การช่วยใครคนใดคนหนึ่ง แต่มันคือการช่วยประเทศทั้งประเทศโดยภาพรวมให้ผ่านพ้นจากการระบาดในวงกว้างให้ได้

ซึ่งก็หมายถึงการช่วยคนที่ไม่รู้สี่รู้แปดแบบมึงด้วยนี่แหละ

เมื่อรัฐไม่ได้ทำอะไรเลย สถานการณ์จึงแย่ลง และแย่อย่างดรามาติกไปอีกเมื่อเจอ super spreader อย่างโหดที่มาจากสนามมวย (อันทำให้ต้องคำถามย้อนหลังไปด้วยว่า มีโรคระบาดขนาดนั้น ทำไมยังปล่อยให้จัดงานที่มีคนไปอยู่รวมกันมากขนาดนี้ แถมคนแพร่เชื้อที่กลับมาจากอิตาลีก็ไม่รู้ผ่านการคัดกรองจากสนามบินมาได้อย่างไร (ย้อนกลับไปอ่านเรื่องกระบวนการให้กักตัวอย่างไม่มีเงื่อนไข ที่ฉันเขียนไว้ข้างต้น)

ถ้าแมทธิว ดีน ไม่ออกมาเปิดเผยเรื่องตัวเองติดเชื้อ – แถมตอนที่ออกมาเปิดเผย ยังมีความพยายามจะไปขู่ฟ้องเขาอะไรเขาอีก – เราก็จะไม่รู้ว่ามีการติดเชื้อนี้กันอย่างหนักที่สนามมวย เพราะคนที่ติดเชื้อจำนวนมากก็ไม่แสดงอาการ

ในที่สุด คนประมาณหนึ่งพันคนที่สนามมวย อันเราไม่รู้ว่าติดเชื้อไปกี่คน ก็ได้เดินไปทั่วไทย ไปโผล่ที่นู่นที่นี่

ขนาดบ่อนไก่แม่ย่อยแถวบ้านแขกที่เชียงใหม่ยังไปเลย คิดดู จากสนามมวยลุมพินีเนี่ย

เอาล่ะสิ คราวนี้จำนวนผู้ติดเชื้อพุ่งพรวดๆ ติดพรวดๆ ยังไม่เท่าไหร่ ถามว่ารัฐบาลมีมาตรการอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันไหม

คำตอบคือไม่มี

หน้ากากที่ขาดก็ยังคงขาดอยู่ ขาดในระดับที่โรงพยาบาลที่เขาโวยวายเรื่องหน้ากากขาดกันมาเป็นเดือนๆ ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น

ไม่มีการกระดิกนิ้วมือนิ้วเท้าข้างไหนจากทางรัฐบาลที่จะไปช่วยโรงพยาบาลเหล่านั้นได้เลย!!!! หน้ากากก็ขาด แอลกอฮอล์ก็ขาด ล่าสุด น้ำยาตรวจหาเชื้อโควิดก็ขาดกันรัวๆ จากโรงพยาบาลนั้น โรงพยาบาลนี้ โดยไม่มีใครสามารถมาชี้แจงแถลงไขอะไรได้ว่า ทำไมมันขาด และเราจะทำให้มันไม่ขาด หรือหามาเพิ่มได้อย่างไร สิ่งที่รัฐบาลแถลงก็คือแถลงเป็ดแถลงไก่ไปวันๆ ไม่เห็นว่าจะมีมรรคผลใดๆ เกิดขึ้น

แต่สิ่งที่รัฐบาลทำคือ เลื่อนวันหยุดสงกรานต์อ้างว่าไม่ให้คนกลับบ้านไปแพร่เชื้อที่ต่างจังหวัด แต่ กทม.สั่งปิดร้านอาหาร สถานบริการต่างๆ ปิดห้างสรรพสินค้าให้เปิดแต่ตลาด ร้านก็ให้ซื้อกลับบ้านอย่างเดียว

เรียกได้ว่า radical แบบไม่คุยกัน radical แบบไม่มีแผนการอะไรรองรับ ไม่มีเวลาให้เตรียมตัวใดๆ

ซึ่งอันว่าการปิดเมืองแบบ radical แบบที่หลายเมืองในโลกนี้ทำกันนั้น เขาต้องมีมาตรการรองรับด้วย

เช่น การปิดเมืองแบบนี้จะทำให้คนไม่ได้ทำงาน ไม่มีรายได้ โดยเฉพาะคนงานกินค่าแรงรายวัน พนักงานในอุตสาหกรรมบริการ งานขาย คนรับจ้างล้างจาน พนักงานเสิร์ฟ ฯลฯ ก่อนจะสั่งปิดเมือง รัฐบาลกลาง หรือรัฐบาลท้องถิ่นต้องสามารถเรียกข้อมูลเหล่านี้มาดู และจัดงบฯ มาเป็น “รายได้” สำหรับแรงงานที่ต้องตกงานชั่วคราวกะทันหันเหล่านี้ ก่อนจะออกประกาศปิดเมือง

พูดได้ว่า เช็คก็มา เงินต้องถูกโอนเข้าไปในบัญชีแรงงานเหล่านี้ ก่อนการประกาศปิดเมือง ปิดห้างจะมาถึง

พูดให้ง่ายไปอีกคือ มาตรการเยียวยาทางเศรษฐกิจกับการปิดเมืองเหมือนขาสองขาที่ต้องเดินมาด้วยกัน

อย่าว่าแต่จะทำ แค่คำประกาศของโฆษกรัฐบาล รองโฆษกรัฐบาล กับ กทม. ในวันเดียวกันยังไม่ตรงกัน

มากันขนาดนี้ แล้วจะไม่ให้ประชาชนระอาอย่างไรได้

เมื่อทำงานกันคนละทีสองทีแบบไม่มีมาตรการอะไรรองรับ สิ่งที่ตามมาก็คือความ ฉห. เพราะคนที่ต้องตกงาน ขาดรายได้ไปอย่างกะทันหัน จะให้เขานอนเขี่ยแสงแดดอยู่ที่ห้องเช่าไปวันๆ โดยไม่มีรายได้เข้ากระเป๋าสักบาท แต่ต้องจ่ายค่าเช่าห้อง ค่าน้ำ ค่าไฟไปเรื่อยๆ อย่างนั้นหรือ?

คนเหล่านี้ก็ต้องพากันกลับบ้านนอก อย่างน้อยก็ยังมีญาติมิตร อย่างน้อยก็ยังอาจจะพอมีอะไรทำ อย่างน้อยก็ยังมีอะไรกิน หรือถ้าจะไม่มีเงินไม่มีทอง กลับไปอยู่กับลูกกับเต้าก็ยังดี เพราะที่ยอมทิ้งลูกทิ้งเต้าไว้กับตา-ยายที่ต่างจังหวัดมากรุงเทพฯ ก็เพราะมันได้เงิน

ไม่หยุดสงกรานต์เพื่อไม่ให้คนกลับบ้าน แต่อยู่ๆ กทม.ประกาศปิดร้านอาหาร ปิดห้าง ปิดนู่น ปิดนี่ ให้คนต่างจังหวัดต้องพากันกลับต่างจังหวัดก่อนสงกรานต์จะมาถึง

ใช้อะไรคิดกันหนอ ถึงออกมาแบบนี้? มิพักต้องถามว่า การหยุดหรือปิดครึ่งๆ กลางๆ แบบนี้นอกจากจะสร้างความบัดซบให้กับภาวะเศรษฐกิจโดยใช่เหตุแล้ว มันช่วยเรื่องป้องกันการระบาดได้แค่ไหน?

การระบาดก็ควบคุมไม่ได้ ศักยภาพที่จะรองรับคนป่วยที่จะเพิ่มขึ้นเป็นทบเท่าก็ไม่ชัดเจนว่ามีหรือพร้อม มาตรการทางเศรษฐกิจก็งูๆ ปลาๆ ทีมประจำสำนักนายกฯ โนบิตะออกมาแถลงเรื่องอุ้มภาคการเงิน ธนาคาร พอนักข่าวถามว่าจะช่วยรากหญ้าประชาชนอย่างไร ดันตอบติดตลกว่า “นักข่าวอยากได้เงินเหรอ?”

เฮ้ย นี่มันไม่ใช่เวลาตลก คนไม่มีกิน ไม่มีเงินจ่ายค่าเทอม ไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าบ้าน แท็กซี่ไม่มีผู้โดยสาร ไม่มีเงินเติมแก๊ส ผ่อนรถ มันไม่ใช่เรื่องตลก!

และชะตากรรมของประเทศไทย คนไทย หลังจากนี้มันก็จะไม่ใช่เรื่องตลก ที่แน่ๆ เราไม่ต้องการรัฐบาลที่เป็นได้แค่ตัวตลก

ทำงานไม่ได้ก็ออกไป