ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 27 มีนาคม - 2 เมษายน 2563 |
---|---|
คอลัมน์ | ลึกแต่ไม่ลับ |
ผู้เขียน | จรัญ พงษ์จีน |
เผยแพร่ |
สสถานการณ์ไวรัสโคโรนา หรือ “โควิด-19” ที่ระบาดกระจายทั่วโลก อัพเดตตัวเลขผู้ป่วยล่าสุด ยอดสะสมทะลุ 398,000 ราย เสียชีวิต 17,365 ราย “อิตาลี” แซงทางโค้ง ผู้เสียชีวิตปาเข้าไป 6,077 รายแล้ว
สิ่งที่เปลี่ยนโชคชะตา ตายหรือติด “โควิด-19” คือการจัดการแก้ปัญหาหรือมาตรการรับมือกับโรคร้ายได้อย่างไรของแต่ละประเทศ อยู่ที่ “ภาวะผู้นำ” ว่าจะจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างไร
“ผู้นำ” ที่มี “ภาวะ” …มีวิสัยทัศน์กว้างไกลในการวางแผน-เตรียมการรับมือ เกาถูกที่คันได้รับการยกย่องอยู่หลายคน หลายประเทศ
“คนแรกสุด” คือ “นายลี เซียน ลุง” นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ แสดง “ภาวะผู้นำ” รับมือไวรัสโควิด-19 ได้ระบือลือลั่น
เดิมทีเดียวสิงคโปร์มีอัตราผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่สูงอันดับ 3 รองจากจีนและญี่ปุ่น
แต่ “ลี เซียนลุง” แถลงการณ์ปลุกกระแสชาวสิงคโปร์ได้อย่างน่าทึ่งตั้งแต่ไวรัสเริ่มระบาดว่า
“สถานการณ์ที่เราเผชิญอยู่ เช่นเดียวกับช่วงวิกฤตโรคซาร์สที่เคยเกิดขึ้นเมื่อ 17 ปีก่อน ซึ่งถือเป็นประสบการณ์ที่ทำให้เราสามารถที่จะรับมือกับไวรัสโคโรนาได้ดีขึ้น”
โดยเราได้จัดเตรียมหน้ากากอนามัยและอุปกรณ์ป้องกันภัยส่วนบุคคลไว้เพียงพอ และเรามีการพัฒนาอุปกรณ์เครื่องมือทางด้านการแพทย์ รวมถึงได้ศึกษาเรื่องไวรัสมาอย่างต่อเนื่อง
เรามีหมอและพยาบาลที่มีความเชี่ยวชาญเพียงพอต่อการรับมือในสถานการณ์เช่นนี้
อีกทั้งยังมีการเตรียมการทางด้านจิตวิทยาด้วย ซึ่งจะทำให้ชาวสิงคโปร์รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น และรับมือกันอย่างไร
นายกฯ สิงคโปร์กล่าวต่อประชาชนของเขาอีกว่า สถานการณ์ของโรคระบาดดังกล่าวยังคงพัฒนาขึ้นทุกวัน ดังนั้น เรามีการเตรียมการที่พร้อมจะตอบสนองทันที โดยช่วงที่ผ่านมาได้มีการติดตามอย่างใกล้ชิดถึงประชากรที่มาจากจีน
เราสืบหาและค้นพบคนที่ติดเชื้อไวรัสโคโรนาและนำไปขึ้นบัญชีว่าได้สัมผัสโรคดังกล่าวแล้ว และแยกออกจากประชากรของเรา
แต่มีสิ่งที่กังวลใจคือ ไวรัสที่กำลังปะปนอยู่ในประชากรของเราเอง ด้วยเหตุนี้จำเป็นที่ได้มีการยกระดับมาตรฐานติดตามเชื้ออย่างใกล้ชิด
เช่น มีการงดกิจกรรมต่างๆ ในพื้นที่สาธารณะ ที่จะทำให้เชื้อไวรัสโคโรนาระบาดได้ง่าย โดยเราได้เลื่อนการจัดงานฉลองปีใหม่จีนออกไป
“ดังนั้น ประชาชนไม่ต้องตื่นตระหนก เพราะเราไม่ได้มีการปิดเมืองหรือว่าจำกัดให้ทุกคนอยู่แต่ในบ้าน เรามีเครื่องอุปโภคบริโภคเพียงพอ ประชากรทุกคนไม่จำเป็นต้องกักตุนอาหาร บะหมี่สำเร็จรูป อาหารกระป๋อง หรือกระดาษชำระ”
“ลีเซียน ลุง” เรียกร้องให้ประชาชนของเขาว่า สิ่งสำคัญที่ต้องทำในสถานการณ์เช่นนี้คือ
การดูแลและป้องกันตัวเอง รักษาสุขภาพให้แข็งแรง ล้างมือสม่ำเสมอ อย่าเอามือไปสัมผัสหน้าหรือตาหากไม่จำเป็น พยายามตรวจสอบตัวเอง วัดไข้สม่ำเสมอ ถ้ารู้สึกไม่สบายอย่าไปในที่แออัดหรือชุมชน นี่คือสิ่งที่ประชาชนสามารถช่วยกันทำได้อย่างง่าย และจะสามารถลดการระบาดของไวรัสโคโรนาได้ในเบื้องต้น
“วิกฤตโรคระบาดที่เกิดขึ้น บททดสอบจริงๆ คือการให้ความร่วมมือกันทางสังคม ยืดหยุ่นทางจิตใจ แน่นอนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคือความหวาดกลัวและความกังวล ซึ่งเป็นการตอบสนองโดยธรรมชาติของมนุษย์ ทุกคนต่างก็ต้องการปกป้องตัวเองและครอบครัว
…แต่ความกลัวเป็นสิ่งที่ทำร้ายเราได้มากกว่าไวรัส ถ้าเราทุกคนตื่นตระหนก หรือทำในสิ่งที่ทำให้แย่ลง ด้วยการปล่อยข่าวลือให้แพร่กระจายในออนไลน์ หรือแม้กระทั่งการตำหนิติเตียนกลุ่มคนที่ทำให้มีการระบาด แทนที่จะใช้ความกล้าหาญผ่านช่วงเวลาตึงเครียดนี้ไปด้วยกัน
นี่คือสิ่งที่ชาวสิงคโปร์ควรทำในขณะนี้
ด้วย “ภาวะผู้นำ” ในทุกบริบทของ “ลี เซียน ลุง” จึงเป็นปัจจัยหลักให้สิงคโปร์ก้าวพ้นวิกฤต “ไวรัสโควิด-19” อย่างน่าทึ่ง จำนวนผู้ระบาดจากระดับ 3 ของโลก หล่นมาอยู่อันดับที่ 39 มีผู้ติดเชื้อเพียง 558 ราย เสียชีวิตเพียง 2 คน
หันมาดู “ภาวะผู้นำ” ของ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี ประเทศไทยกันดูมั่ง” “บิ๊กตู่” ออกจอแถลงยกระดับแผนรับมือมหันตภัยร้ายมาแล้วหลายยก
2 ครั้งแรก ผักบุ้งโหรงเหรง มีแต่น้ำไม่มีเนื้อ มีมาตรการแค่เลื่อนวันหยุดเทศกาลสงกรานต์-ปิดสถานที่ที่มีคนชุมนุม ครอบคลุมมหาวิทยาลัย โรงเรียน สนามมวย สนามกีฬา โรงภาพยนตร์ ร้านนวด สถานบันเทิง เป็นเวลา 14 วัน
ที่เป็นชิ้นเป็นอันจับต้องได้ก็ครั้งสุดท้าย ที่ขออำนาจจากคณะรัฐมนตรีประกาศออกพระราชกำหนด หรือ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคมที่ผ่านมา เป็นวาระสำคัญ รายละเอียดดังที่ทราบ และมีแนวโน้มว่ารัฐบาลจะประกาศ “เคอร์ฟิว” เพิ่มมาตรการคุมเข้มไวรัสโควิด-19 ในลำดับถัดไป
ทว่าแต่ละย่างก้าว ช้าถึงช้ามากๆ ผู้ป่วยผู้ติดเชื้อในประเทศไทยขยายเพดานจากระดับกลางๆ ของตารางโลก อันดับที่ 31 ทำท่าจะ “ชนะ” มายืนประเทศหัวแถว
ยอดผู้ติดเชื้อพุ่งพรวดแบบรายวัน วันละนับร้อยคน แตะหลักพันแล้ว ขณะที่ยอดสะสมผู้เสียชีวิต นิ่งอยู่ที่ 1 คนมานาน เพิ่มเป็น 4 ราย และค่อยๆ ทำลายสถิติต่อไป
เพราะเสาหลักขาด “ภาวะผู้นำ” ทำให้ภาคประชาชนไม่ค่อยให้ความร่วมมือ ตัดสินใจทำอะไร ถูกมองตลกเล่นไปหมด