การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ เพราะตอนนี้และอนาคตข้างหน้า

เราลืมตามาดูโลกเพื่อโชคร้าย

อยู่ครึ่งเป็นครึ่งตายเสมอสลับ

รอเวลาดับร่วงจะล่วงลับ

เพียงรอนับก้าวใหม่ในนรก

 

หรือเราเป็นมวลหนอนที่ชอนซาก

สุมใต้กากเน่าเหม็นบังเร้นปรก

ปราศจากดวงตาจะเห็นนก

จึงถูกจิกฉีกตกเสมอมา

 

นกที่บินบนฟ้าแสนกว้างใหญ่

ปีกแผ่กางกวัดไกวในแสงจ้า

ขณะเราดีดร่างอยู่ค้างคา

ในเคลือบโคลนฝนห่าชะชุ่มหนอง

 

เราคือหนอนนอนใต้ใบไม้ผุ

ยั้วเยี้ยพูนแผลพุทะลุร่อง

บางคืบคลานผ่านมีดครูดกรีดท้อง

จะหวีดร้องก็นึกได้ไม่มีลิ้น

 

ฉันเดินออกมาจากร้านข้าวต้มโต้รุ่งแห่งนั้น ง่ายๆ เหมือนวันที่เดินเข้าไป

มีเสื้อผ้าเพิ่มมาใหม่อีกสองสามชุด ยัดรวมกันใส่ถุงกระดาษใบใหญ่ ใบแดงยังอยู่ดีในกระเป๋ากางเกง ฉันรัดมันให้แน่นเข้า จะมากน้อย นั่นก็คือสิ่งเดียวที่ให้ความอุ่นใจ

มีสมุดที่ซื้อมาไว้เขียนอีกสองเล่ม เล่มหนึ่งมีตัวหนังสือเต็มเกือบทุกหน้าแล้ว ฉันม้วนรัดไว้กับปากกาอีกด้าม ซองจดหมายสองซอง พลางตระหนักว่า สมบัติทั้งหมดของฉันมีเพียงเท่านี้

ดอกมะลิทำตาแดงๆ เมื่อรู้ว่าฉันจะไปแน่

“เธอจะไปจริงๆ เหรอ”

“อือ”

“กลับมาเยี่ยมกันบ้างนะ”

ฉันอดแค่นยิ้มไม่ได้ ดอกมะลิพูดเหมือนโง่ง่าว เราจะมาสัญญิงสัญญากันเพื่ออะไร เดินออกไปพ้นชายคาร้าน ตัวฉันก็ยังไม่รู้จะไปตกอยู่ที่ใด

ตัวดอกมะลิเอง ก็ใช่รู้แน่แก่ใจ จะอยู่ไปถึงวันใดเดือนใด

การไม่ต้องเอ่ยปากฝากอะไร อาจคือความซื่อตรงจากใจที่สุดแล้ว

“เราต้องได้เจอกันอีกเนาะ”

ดอกมะลิเสียงเครือ ซึ่งนั่นคือสิ่งที่ฉันไม่อยากจะเห็นอีกต่อไป

“ไม่รู้เหมือนกัน ช่างมันเถอะ”

นั่นคือคำพูดของฉัน

“เธอจะไม่คิดถึงกันเลยเหรอ!”

คำถามนั้น ทำให้ฉันแค่นยิ้มออกมาอีกหนหนึ่ง และคนคนหนึ่งที่เกิดมาพร้อมฉัน เติบโตอยู่ในตัวฉัน ก็เป็นฝ่ายแสดงสีหน้าน่าชังให้

“จะคิดถึงไปทำไม เบื่อจะตายอยู่แล้ว!”

“…ดอกแค”

“ไม่ต้องเรียกชื่อฉัน! ฉันเบื่อที่นี่จะตายอยู่แล้ว! เบื่อเธอด้วย!”

 

ในโลกที่น้ำตาคือของน่ารังเกียจ ฉันไม่ชอบกลิ่นของมันเลยจริงๆ ในโลกใบนั้น ฉันจึงพ่นลมหายใจยาว แล้วก้าวเดินจากมาด้วยขาแข็งๆ

ฉันคือคนแข็งแรง ฉันคือผู้อยู่รอด ฉันคือผู้ที่จะต้องรอดพ้นจากปากนกที่บินว่อนบนฟ้า

เหล่านั้น คือการพยายามท่องตอกเข้าในจิตสำนึกตัวเอง

แต่ถึงกระนั้น เปลือกผิวที่นิ่มหยุ่นกระดำกระด่าง ก็กระชากฉันหวนคืนกลับ มารับความจริงในแค่ชั่วนาที

พลันที่ตีนกดลงบนรองเท้าแตะคีบ แล้วรองเท้าแตะคีบก็ลากไถลไปบนทางเท้าลาดปูนขรุขระ

แดดอาบลงมาจนผิวแทบไหม้ จากนั้น ฉันก็เป็นเพียงเด็กผู้หญิงที่ร่างเหม็นสาบคราบไคล เดินหิ้วถุงกระดาษเดินแทรกไปในฝูงชน ช่างหัวคนมอง

 

…เราคือหนอนนอนใต้ใบไม้ผุ

ยั้วเยี้ยพูนแผลพุทะลุร่อง

บางคืบคลานผ่านมีดครูดกรีดท้อง

จะหวีดร้องก็นึกได้ไม่มีลิ้น

 

ในหัวยังคงมีบทกวีเรื่อยริน ฉันเขียนมันไปทีละคำ ละวรรค บางวรรคก็ท่องซ้ำๆ เพื่อให้ถ้อยคำรึงรัดกันไว้เป็นสายสร้อย ยิ่งเดินไปไกลเท่าไหร่ ตัวหนังสือยิ่งเกาะเกี่ยวกันไปยาวขึ้นเรื่อยๆ

ฉันไม่เหนื่อยที่จะคิดคำออกมาเป็นบทกวี บางที นั่นคือสิ่งเดียวอีกครั้ง สำหรับการดำรงอยู่

 

“อีพี่!”

ไม่รู้ว่าเป็นเวลานานเท่าไหร่ กว่าที่เสียงนั้นจะเดินทางมาถึงหูของฉัน มันเป็นการเดินทางที่ยาวนานแน่ๆ เพราะตอนที่ฉันเห็นดวงตาเบิกกว้างกับปากอ้าเปล่งเสียงนั่น เป็นตอนที่ฉันกำลังคิดว่า จะล้มตัวลงนอนข้างถังขยะใบนั้นดีหรือไม่

“อีพี่!”

พี่สาวร่วมพ่อกระโจนข้ามถนนมา ฉันเห็นใบหน้าชัดเต็มตา แต่สมองก็ยังประมวลผลช้า อาจเพราะในหัวของฉันยังคงอัดท้นด้วยบทกวี

 

ผุไม้ใบใต้หนอนนอนคือเรา

ร่องทะลุพุแผลพูนเยี้ยยั้ว

ท้องกรีดครูดมีดผ่านคลานคืบบาง

ลิ้นไม่มีก็นึกได้จะหวีดร้อง

 

จะหวีดร้องก็นึกได้ไม่มีลิ้น

บางคืบคลานผ่านมีดครูดกรีดท้อง

ยั้วเยี้ยพูนแผลพุทะลุร่อง

เราคือหนอนนอนใต้ใบไม้ผุ

 

ผุคือเรานอนใต้ใบไม้หนอน

ทะลุร่องพูนแผลพุยั้วเยี้ย

คืบคลานผ่านมีดบางกรีดครูดท้อง

นึกได้จะหวีดร้องไม่มีลิ้น

 

ลิ้นจะหวีดร้องไห้กลับไม่มี

ที่เป็นแผลพุพองคือร่องหนอน

คืบคลานผ่านมีดบางทางแรมรอน

จะล้มนอนก็นึกได้ในนรก

 

หรือเราเป็นมวลหนอนที่ชอนซาก

สุมใต้กากเน่าเหม็นบังเร้นปรก

ปราศจากดวงตาจะเห็นนก

จึงถูกจิกฉีกตกเสมอมา

 

นกที่บินบนฟ้าแสนกว้างใหญ่

ปีกแผ่กางกวัดไกวในแสงจ้า

ขณะเราดีดร่างอยู่ค้างคา

ในเคลือบโคลนฝนห่าชะชุ่มหนอง

 

เราคือหนอนนอนใต้ใบไม้ผุ

ยั้วเยี้ยพูนแผลพุทะลุร่อง

บางคืบคลานผ่านมีดครูดกรีดท้อง

จะหวีดร้องก็นึกได้ไม่มีลิ้น

 

“อีพี่!!”

ฉันเห็นดวงตาของพี่โฟในระยะกระชั้นชิด พร้อมกับมืออวบขาวจิกขยุ้มเข้าที่ไหล่ แต่ใจฉัน หัวฉัน ปากฉัน ยังพยายามจะเก็บเกี่ยวเอาถ้อยคำเหล่านั้นให้เรียงร้อยกันต่อไป

ให้ตายเถอะ! ฉันกำลังจะจับมันได้แล้วแท้ๆ

…บางคืบคลานผ่านมืดครูดกรีดท้อง

จะหวีดร้องก็นึกได้ไม่มีลิ้น…

ฉันไม่ควรจะพูดอะไรกับพี่โฟ แม้พี่โฟพยายามจะพูดกับฉัน นั่นเพราะถ้อยคำของฉันอุทิศให้กับทรวงอกที่เป็นโพรงหลุมไร้ก้นหมดแล้ว และฉันกำลังปราศจากลิ้น ปราศจากดวงตา ฉันเห็นใบหน้าก็เพียงรู้ว่านั่นคือใบหน้า ฉันได้ยินเสียง ก็เพียงรู้ว่านั่นคือเสียง ฉันจะไม่เก็บ-เกาะ-เกี่ยว กับมนุษย์คนใดอีกต่อไป ฉันคือหนอน ฉันตระหนักแล้วว่าตัวเองเป็นหนอน ฉันแค่ควรจะต้องหาที่นอน เช่น ข้างถังขยะใบนั้น

พี่โฟหวีดร้องดังลั่น ฉันได้ยินเสียงนั้นอีกครั้ง เมื่อจงใจปล่อยตัวเองลงนอน จะไม่กระดุกกระดิกอีกดีกว่า เพราะตอนนี้และอนาคตข้างหน้า ตัวฉันคือหนอน