มนัส สัตยารักษ์ | เรื่องกากๆ ของหน้ากาก

ตลอด 2 เดือนที่ผ่านมาดูเหมือนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (ซึ่งองค์กร WHO ให้ชื่อจำง่ายว่า โควิด-19) เป็นเรื่องที่แกะไม่ออก ไม่ว่าจะในจอเล็ก จอใหญ่ ในหน้ากระดาษ หรือในผนังกะโหลกที่สมองจินตนาการขึ้นมา

ด้วยความที่ชอบตลกร้ายหรือคิดในแง่ร้ายกับรัฐบาลประยุทธ์ ทำให้เดาว่ารัฐบาลนี้คงรับมือกับปัญหาโควิด-19 ด้วยการ “แจกเงิน” อีกแหละ

ราวกับปาฏิหาริย์ที่เหลือเชื่อ…เดาแม่นอะไรเช่นนั้น แม่นจนหัวเราะไม่ออก เมื่อรัฐบาลแถลงถึงมาตรการสู้กับโควิด-19

“เทหมดหน้าตัก ทุ่มแสนล้านฝ่าวิกฤตโลก โควิด-19”

พาดหัวข่าวเป็นทำนองนี้ อ่านเนื้อข่าวแล้วยิ่งรู้สึกโกรธและสิ้นหวังกับรัฐบาล

วันถัดมา นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ ให้สัมภาษณ์ “ทุ่ม 100 ล้านบาท ตั้งโรงงานผลิตหน้ากากอนามัย เพื่อแจกจ่ายบุคลากรทางการแพทย์และประชาชนที่ไม่สามารถหาซื้อหน้ากากได้”

เราต้องการรัฐบาลที่มีวิสัยทัศน์ ประเทศชาติและประชาชนต้องมาก่อนความอยู่รอดของตัวเองและพรรคพวก

ทันใดนั้นก็จินตนาการได้ว่า คนที่ควรเป็นนายกรัฐมนตรีวันนี้ก็คือ นายธนินท์ เจียรวนนท์ หรืออย่างน้อยก็ที่ฉลาดอย่างนายธนินท์นี่เอง

เมื่อเป็นที่แน่ชัดว่า “โควิด-19” เข้าสู่ระดับวิกฤตของโลก ทุกประเทศที่ผู้นำมีวิสัยทัศน์ต่างใช้ความคิดและลงมือทำโดยทันที จีนซึ่งเป็นจุดเริ่มของไวรัสได้ทุ่มเทแก้ปัญหาอย่างรวดเร็ว ทั้งปิดเมือง สร้างโรงพยาบาล กระจายบุคลากรทางการแพทย์ ค้นคว้ายาต่อต้าน ฯลฯ โดยถือเอาความปลอดภัยของประชาชนเป็นหลัก หลังจากเวลาผ่านไปประมาณ 1 เดือน จีนสามารถยุบโรงพยาบาลชั่วคราวลงได้ 11 แห่งเพราะจำนวนคนป่วยเบาบางลง

ต่อมาเมื่อมีความขาดแคลนหน้ากากอนามัยไปทั่วโลก ที่ประเทศญี่ปุ่น นายกรัฐมนตรีสั่งแจกหน้ากากอนามัยให้ประชาชนถึงบ้านทางไปรษณีย์ ไม่มีความวุ่นวายและความยากลำบากเกิดขึ้น ไม่ต้องเข้าคิวรอซื้อที่ทำเนียบ รอการตัดริบบิ้น และไม่ต้องเดินทางมาใหม่เพราะของหมด

ทั้งจีนและญี่ปุ่นเป็นประเทศร่ำรวย แต่ไม่ได้แก้ปัญหาด้วยมาตรการแจกเงิน

ในประเทศไทยก็มีผู้น่าเชื่อถือหลายท่านเสนอแนะหนทางที่รัฐบาลควรทำ โดยตั้งโจทย์จากยอดเงิน 1 แสนล้านบาทที่กระทรวงการคลังเตรียมแจก เช่น

ดร.สุวินัย ภรณวลัย ประธานยุทธศาสตร์ สถาบันทิศทางไทย ได้แสดงความคิดเห็นผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว คัดค้านนโยบายแจกเงินแสนล้านบาท โดยแจงว่าเงินจำนวนนี้สามารถสร้างโรงพยาบาลได้ 200 แห่ง หรือสามารถตั้งโรงงานผลิตหน้ากากได้ 1,000 แห่ง หรือสามารถจัดหาหน้ากากอนามัยได้ 100,000 ล้านชิ้น ฯลฯ

อาจารย์สมชัย ศรีสุทธิยากร อดีต กกต.แถลงว่า ถ้าตนเองเป็นรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง จะนำเงินแสนล้านไปทำเรื่องเร่งด่วนได้ 4 ประการ คือ ซื้อหน้ากากอนามัยให้บุคลากรทางการแพทย์ 100,000 คน 2 ชิ้นต่อวัน ต่อเนื่อง 2 เดือน, ทำประกันการรักษาพยาบาลให้บุคลากรทางการแพทย์, ตั้งโรงงานผลิตหน้ากากอนามัยกระจายตามภูมิภาคต่างๆ โรงงานละ 100 ล้าน เป็นเงิน 2,000 ล้านบาท หน้ากากจะเพียงพอ ทั่วถึง ช่วยให้คนมีงานทำ, จัดส่งหน้ากากทางไปรษณีย์ให้แก่ทุกครัวเรือน เป็นเวลา 2 เดือน

รวมเป็นเงิน 3,920 ล้านบาท ยังคงเหลืออีก 96,080 ล้านบาท!

ในคณะรัฐบาลซึ่งกลาดเกลื่อนไปด้วย “สุดยอดฝีมือ” เหตุใดจึงไม่มีใครคิดอะไรใสๆ ง่ายๆ อย่างนี้บ้างเลยหนอ?

สถานการณ์โควิด-19 เริ่มวิกฤตเพิ่มขึ้นเมื่อคนไทยในประเทศเสี่ยงหลายพันคนแสดงเจตจำนงจะหนีไวรัสโคโรนากลับบ้าน แต่ทางการของเรายังไม่ได้เตรียมการหรือวางมาตรการ “รับมือ”

จะเป็นเจตนาดีที่แฝงด้วยเจตนาร้ายหรือเปล่าไม่ทราบ ผู้สื่อข่าวไปถาม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ถึงการเตรียมรับมือ “ผีน้อย” จากเกาหลีใต้

พล.อ.ประวิตรตอบว่า “ต้องกลับมาอยู่บ้านของตัวเอง ก็ต้องรักษาตัวอยู่ในบ้าน ควบคุมโรคอยู่ในบ้าน เพราะว่าเราไม่มีกฎหมายที่จะไปควบคุม”

ข่าวไปเน้นตรงประโยคที่ว่า “ไม่มีกฎหมายควบคุม” ซึ่งอาจจะเป็นเหตุให้ผีน้อยหายไปจากการกักตัว 70-80 คน นอกจากทำความยุ่งยากแก่เจ้าหน้าที่แล้วก็อาจจะเป็นเหตุให้คนไทยประสาทผวาไปตามๆ กัน

ความจริงมี พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 เป็นกฎหมายควบคุม นอกจากนี้ยังมีประกาศในราชกิจจาฯ ให้โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 เป็นโรคติดต่ออันตราย เพื่อประโยชน์ในการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุม

เล่าเรื่องผีน้อยล่องหนด้วยความกังขาว่า ทำไมกรณีนี้รัฐบาลไม่ “ทุ่มเท” แค่เจียดเศษเงินจาก 1 แสนล้านที่จะแจกก็ช่วยให้ชาวบ้านไม่ผวาไปได้ทั้งเมือง

แม้จะระงับมาตรการแจกเงินไปแล้ว แต่ผลพวงความเสียหายเกิดขึ้นมากมายบรรยายไม่หมด เพราะว่าพอประกาศแจกเงิน (หลวง) ก็ประกาศรับบริจาค (เงินเอกชน) ทันที แถมโฆษกรัฐบาลยังอธิบายเพิ่มเติมว่า รับบริจาคจากเอกชนเท่านั้น ไม่รับจากประชาชน (?)

ทำให้นึกขึ้นมาได้ว่า เงินประเภทนี้มักไม่มีการตรวจสอบ และไม่มีการชี้แจงแถลงข่าว แจกใคร อย่างไร เท่าใด เหลือหรือไม่ เข้าคลังหรือเข้ากระเป๋าใคร มีเงินทอนให้ใครหรือไม่?

กรณีบริจาคช่วยเหลือน้ำท่วมจังหวัดอุบลราชธานีเป็นเคสตัวอย่าง

ครับ…การแจกและการบริจาคเป็นความสุขอย่างยิ่งของคนพวกหนึ่ง สุขจนไม่ต้องคิดและทำอย่างอื่น

มีเหตุการณ์ที่กระเทือนไปถึงสถานะและภาพลักษณ์ของรัฐบาลจากวิกฤตหน้ากาก

เหตุแรกเป็นเรื่องการกักตุนหน้ากากอนามัย พัวพันโยงใยกับนักการเมืองระดับรัฐมนตรี มีตัวละครหลายตัว เรื่องสับสนค่อนข้างมาก บางฉากก็ดุเดือดระดับ “พายเรือให้โจรนั่ง” เช้าตะเพิดให้ถอนตัว เย็นขอโทษ แต่บางฉากตัวละครสำคัญร้องไห้

เรื่องนี้ต้องติดตามหาความชัดเจนเพิ่มเติมเอาเองครับ

ส่วนเรื่องกรมศุลกากรออกข่าวส่งออกหน้ากากอนามัย 330 ตัน จะเป็นเฟกนิวส์หรือแถลงพลาดหรือแก้ตัว หรือเป็นสงครามจิตวิทยา กำลังฟ้องร้องกันอยู่ อย่าไปเชื่อใคร

อีกเรื่องสำคัญ…ครม.อนุมัติงบฯ 225 ล้านบาทให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศ จัดอบรมสอนการทำหน้ากากอนามัยป้องกันโควิด-19 ทั้งๆ ที่ใน YouTube มีแนะนำไม่ต่ำกว่า 15 คลิป เป็น YouTube เดียวกับที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เคยยกมาหมิ่นประชาชนคนไทยว่าไม่รู้จักเปิดดูนั่นแหละ! (ฮา)

ผมติดใจเพียงว่า 225 ล้านนี่ ให้นายธนินท์ เจียรวนนท์ (นายกรัฐมนตรีในฝันของผม) เอาไปทำโรงงานผลิตได้ถึง 2 โรง

อนึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สั่งยุติการแจกเงิน 2,000 บาทแล้ว