บทพิสูจน์ “วาระแห่งชาติ” ตร.ตั้งวอร์รูม สู้โควิด-19 เสริมทัพรัฐบาลทุกมิติ

สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทย แม้จะยังไม่เข้าสู่ระยะที่ 3 แต่รัฐบาลได้เตรียมความพร้อมรองรับสถานการณ์ที่เข้มข้นมากขึ้น

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) มีหน่วยงานในสังกัดที่ถือว่าเป็นด่านหน้าในการสนับสนุนการทำงานของรัฐบาล อาทิ สตม.คัดกรองคนเข้าประเทศ มีโรงพยาบาลตำรวจสนับสนุนด้านการแพทย์

และมีเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการคอยกวาดล้างจับกุมผู้กักตุนสินค้าทางการแพทย์ การขายหน้ากากอนามัยเกินราคา รวมไปถึงการขายสินค้าที่ไม่ได้คุณภาพ

พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. เป็นแม่ทัพใหญ่ในการขับเคลื่อนกำลังพลเพื่อสนับสนุนการทำงานของรัฐบาล ลงนามในคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 119/2563 แต่งตั้งคณะกรรมการรองรับสถานการณ์โรคติดเชื้อโควิด-19

โดยแต่งตั้งให้ พล.ต.อ.มนู เมฆหมอก รอง ผบ.ตร. เป็นประธาน และ พล.ต.ท.ปิยะ อุทาโย ผู้ช่วย ผบ.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ท.เพิ่มพูน ชิดชอบ ผู้ช่วย ผบ.ตร. เป็นรองประธาน

พร้อมด้วยผู้แทนจากทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นกรรมการ

กำหนดมาตรการที่สำคัญๆ เช่น

1. เพิ่มความเข้มในการคัดกรองผู้เดินทางจากนอกราชอาณาจักรโดยเฉพาะพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาดของโรค ในทุกช่องทาง เช่น สนามบินนานาชาติ และด่านชายแดนทั่วประเทศ

2. การเตรียมพร้อมดูแลอำนวยความสะดวกในการรับตัวคนไทยที่จะเดินทางกลับประเทศ โดยได้เตรียมความพร้อมด้านการแพทย์และบูรณาการร่วมกับหน่วยที่เกี่ยวข้องทุกหน่วย

3. พิจารณาเตรียมพร้อมด้านกำลังพล สถานที่ และการปฏิบัติการสนับสนุนส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเพื่อให้สามารถดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

4. การประชาสัมพันธ์และรณรงค์ให้ประชาชนหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่จะติดโรค และป้องกันตนเองได้อย่างถูกวิธี

และสั่งการให้จัดตั้งวอร์รูมศูนย์รองรับสถานการณ์โรคติดเชื้อโควิด-19 ที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.) ปฏิบัติหน้าที่ตลอด 24 ชั่วโมง มีการประชุมทุกวัน เวลา 10.00 น.

และให้ตั้งคณะกรรมการย่อยในการดูแลแยกเป็นเรื่องต่างๆ ทุกส่วนราชการของ ตร. เช่น การบังคับใช้กฎหมาย การเตรียมการด้านการแพทย์ การเตรียมการอพยพ และกรณีการเยียวยาต่างๆ พร้อมประสานส่งข้อมูลให้กับศูนย์โควิด-19 ของรัฐบาลก่อนเวลา 20.00 น.ทุกวัน

สำหรับการให้ข้อมูลด้านข่าวขอให้ผ่านจากทีมโฆษกของ ตร. สตม. ปอท. และแพทย์โรงพยาบาลตำรวจเป็นหลัก เพื่อยืนยันข้อมูลที่ถูกต้อง

และสั่งการให้จัดตั้งศูนย์ควบคุมสถานการณ์โควิด-19 ทุกจังหวัด ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติงานร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด หากมีการประกาศสถานการณ์ต่างๆ

ทั้งนี้ การคัดกรองคนเข้าประเทศ ทาง สตม.มีความเข้มงวดหลังจากมีการประกาศราชกิจจานุเบกษายกเลิกวีซ่าประเทศจีน เกาหลีใต้ อิหร่าน อิตาลี และ 2 เขตปกครองพิเศษ มาเก๊า และฮ่องกง

ทำให้ผู้ที่จะเดินทางจากประเทศเหล่านี้จะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ในการขออนุญาตเข้าประเทศไทย

คือ มีใบรับรองแพทย์และข้อมูลการกักตัว และต้องนำเอกสารดังกล่าวมายื่นให้สถานทูตและสายการบินพิจารณา ก่อนจะอนุญาตให้เข้ามาในประเทศ

โดยเชื่อว่าหากใช้มาตรการนี้จะทำให้ความเสี่ยงของบุคคลที่มีเชื้อโควิด-19 เข้ามาในประเทศลดน้อยลง

ส่วนคนไทยที่เดินทางมาจากประเทศเสี่ยง จะผ่านการตรวจคัดกรองโรคอย่างละเอียด ก่อนนำส่งกลับภูมิลำเนา กักตัวที่บ้าน 14 วัน โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดแต่ละจังหวัดเป็นผู้รับผิดชอบ ส่วนตำรวจจะสนับสนุนการปฏิบัติงานทุกกรณี

ซึ่งหากฝ่าฝืนก็จะมีความผิดตามกฎหมายต่อไป

ด้านการกวาดล้างจับกุมผู้ที่ฉกฉวยโอกาสขายหน้ากากอนามัยเกินราคาและขายสินค้าทางการแพทย์ที่ไม่ได้คุณภาพ เป็นการซ้ำเติมประชาชน ล่าสุดสามารถจับผู้ต้องหาได้ 85 คน ยึดของกลาง 170,821 ชิ้น มูลค่า 2,376,037 บาท

สำหรับของกลางที่เป็นหน้ากากอนามัยนั้น ทาง พล.ต.ต.ณัฐศักดิ์ เชาวนาศัย ผบก.ปคบ. อยู่ระหว่างหารือกับกระทรวงพาณิชย์และหน่วยที่เกี่ยวข้อง ศึกษาแนวทางที่ไม่ให้ของกลางเสื่อมสภาพโดยเปล่าประโยชน์

ซึ่งหลังจากนี้คงต้องรอดูว่าจะสามารถนำของกลางที่ยึดไว้ได้มาแจกจ่ายให้กับบุคลากรหรือประชาชนที่ขาดแคลนได้หรือไม่

ส่วนการเตรียมความพร้อมทางบุคลากรทางการแพทย์ ทาง พ.ต.อ.นพ.ศุภฤกษ์ พัฒนปรีชากุล หัวหน้ากลุ่มงานอายุรกรรม โรงพยาบาลตำรวจ ให้สัมภาษณ์ว่า 18 มีนาคม 2563 ทางโรงพยาบาลได้มีการจัดตั้งคลินิกโรคหวัดแยกจากโซนอื่นๆ เพื่อลดการแพร่กระจายเชื้อ สำหรับการเตรียมความพร้อมด้านการแพทย์ ได้เตรียมศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและบรรเทาภัย โรงพยาบาลตำรวจ ประสานการปฏิบัติกับหน่วยงานการแพทย์อื่นๆ และจัดเตียงจำนวน 100-150 เตียง ไว้รองรับผู้ป่วย รวมทั้งอาคารเรือนนอน ตชด.

พร้อมเตรียมโรงพยาบาลในสังกัด เช่น โรงพยาบาลดารารัศมี จ.เชียงใหม่ และโรงพยาบาลยะลาสิริรัตนรักษ์ รวมถึงการเตรียมพร้อมสร้างโรงพยาบาลสนาม หากมีความจำเป็น

แม้ขณะนี้จะมีข้าราชการตำรวจที่ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 แล้วจำนวนหนึ่ง

และยังต้องกักตัวข้าราชการตำรวจที่ใกล้ชิดกลุ่มคนเหล่านี้ 14 วันอีกกว่า 100 ราย

แต่ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติยืนยันว่าจะไม่ส่งผลกระทบกับการดูแลให้บริการประชาชน พร้อมสั่งการให้ทุกสถานีตำรวจเพิ่มการทำความสะอาด ฆ่าเชื้อ สร้างความมั่นใจให้กับประชาชนที่จะมาติดต่อราชการตามสถานีต่างๆ

โดยจัดหาอุปกรณ์ป้องกันและทำความสะอาด เพิ่มความถี่ในการจัดบิ๊กคลีนนิ่งสถานีตำรวจ จากเดิมสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เป็นอย่างน้อย 3 ครั้ง และให้ทำความสะอาดห้องขังตลอดเวลา เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งแพร่ระบาดของเชื้อ พร้อมกำชับข้าราชการตำรวจทั่วประเทศที่ปฏิบัติงานบริการประชาชนให้ดูแลตัวเอง สวมใส่หน้ากากอนามัย และล้างมือบ่อยๆ ซึ่งจะมีการจัดทำคู่มือการปฏิบัติตัวเองแจกจ่ายให้กับข้าราชการตำรวจทุกคนในเร็วๆ นี้

เป็นบทพิสูจน์ฝีมือสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ถึงความพร้อมสนับสนุนภารกิจเสริมทัพรัฐบาลเพื่อคลี่คลายสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19

เพราะถือเป็นวาระแห่งชาติที่ทุกคนต้องร่วมมือกัน