วิเคราะห์ | หลอน โดมิโนหน้ากาก! จาก “ธรรมนัส” ถึง “พรรคสีฟ้า” จับตา “วิชัยเอฟเฟ็กต์” สะเทือนรัฐบาล

จากมรสุม “โควิด-19” ไม่ได้สะท้อนเพียงการบริหารจัดการของรัฐบาลเท่านั้น

แต่สะท้อนถึง “เอกภาพ” และ “มาตรฐานจริยธรรม” ของรัฐบาลด้วย

หลังมีข้อกังขาต่างๆ เกิดขึ้น โดยเฉพาะเรื่องหน้ากากอนามัย แม้จะยังไม่มีรัฐมนตรีคนใดไปเกี่ยวข้องโดยตรง แต่การที่ “คนใกล้ชิด” ถูกกล่าวหาหรือถูกโยงไปเกี่ยวข้อง ก็ทำให้สะเทือนมาถึงรัฐมนตรีที่เป็นผู้บังคับบัญชาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

กลายเป็นมหากาพย์ “โดมิโนหน้ากาก” ขึ้นมา

หลังอภิปรายไม่ไว้วางใจ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ ยังคงตกเป็นเป้าทางการเมืองและด้วยการได้คะแนนไว้วางใจน้อยที่สุด แม้จะไม่ห่างจากรัฐมนตรีคนอื่นๆ มากนัก ก็มีเสียงเรียกร้องให้ ร.อ.ธรรมนัสทบทวนตัวเองว่าสมควรอยู่ในตำแหน่งต่อไปหรือไม่

ผ่านมาไม่นานมีเรื่องราวหน้ากากอนามัยเกิดขึ้น

โดย “พิตตินันท์ รักเอียด” ซึ่งเป็นหนึ่งในคนใกล้ชิด ร.อ.ธรรมนัส ในฐานะคณะทำงาน ได้ไปถ่ายภาพกับ “ศรสุวีร์ ภู่รวีรัศวัชรี” ที่ถูกกล่าวหาว่าอยู่ในขบวนการกักตุนหน้ากากอนามัยเพื่อจำหน่าย

หลังเพจดังออกมาแฉ จึงทำให้ชื่อของ “พิตตินันท์” ถูกโยงเข้าขบวนการนี้ไปด้วย ทำให้ ร.อ.ธรรมนัสถูกตั้งข้อสงสัยว่ารู้เห็นกับเรื่องนี้หรือไม่

แม้ ร.อ.ธรรมนัสจะยืนยันว่าตนไม่เกี่ยวข้องและรู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้

โดยชี้ว่าเรื่องนี้มีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง พร้อมทั้งได้ปลด “พิตตินันท์” ออกจากตำแหน่งเพื่อเข้ากระบวนการตรวจสอบแล้ว

พร้อมกับเปิดช่องพร้อมออกจาก ครม. หากประชาชนไม่ต้องการ

ทำให้กฐินตกไปที่ ร.อ.ธรรมนัสยิ่งกว่าเดิม

“ผมเข้ามาทำงานเพื่อบ้านเมือง ถ้าวันหนึ่งประชาชนไม่เอาเราแล้ว เราไม่มีประโยชน์ต่อบ้านเมืองแล้วไม่ต้องปรับ ครม. ผมยินดีจะไปทันที ผมไม่ได้มีอาชีพเป็นนักการเมือง”

ร.อ.ธรรมนัสกล่าว

อย่าลืมว่าไม่ใช่ครั้งแรกที่ ร.อ.ธรรมนัสตกเป็นเป้าทางการเมือง โดยเริ่มโหมโรงมาตั้งแต่ตั้งรัฐบาลแล้ว โดยเฉพาะเรื่องคุณสมบัติที่เปรียบเป็น “หนามยอกอก” ร.อ.ธรรมนัส ที่ยิ่งพูดเท่าไหร่ก็ไม่สามารถเคลียร์สิ่งที่ค้างคาในใจสังคมได้

ทั้งเรื่องคดีความที่ออสเตรเลียและการใช้ยศทหารนำหน้า โดย ร.อ.ธรรมนัสเคยเปรียบตัวเองเป็น “เส้นเลือดใหญ่” ของรัฐบาล เพราะเป็น “มือประสานสิบทิศ” ในการจัดตั้งรัฐบาลให้กับ “2 ป.” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หากล้มตนได้ รัฐบาลก็สั่นคลอน เพราะหลายเรื่องที่ได้ประสานงานไว้นั้น เป็นความลับที่ตนรู้เพียงคนเดียว

อีกทั้งยังเป็นเจ้าของวาทะ “แจกกล้วยให้ลิง” กับพรรคเล็กๆ ซึ่งการขุดคุ้ยหลักฐานและการย้อนอดีตเหตุการณ์ยังคงมีอยู่ตลอดนับตั้งแต่ ร.อ.ธรรมนัสขึ้นเป็นรัฐมนตรี ถือเป็นสิ่งที่ ร.อ.ธรรมนัสก็ยอมรับสภาพ

“ชีวิตผมผ่านอะไรมาเยอะ เจออะไรมาเยอะ” ร.อ.ธรรมนัสกล่าว

“เพราะเมื่อเราเข้ามาสู่เวทีการเมืองแล้ว เราจะต้องรับได้ทุกสภาพ” ร.อ.ธรรมนัสกล่าว

กรณีของ ร.อ.ธรรมนัส สะเทือนไปถึงพรรคพลังประชารัฐด้วย หลังเกิดศึกในไลน์ระหว่าง “สิระ เจนจาคะ” ส.ส.กรุงเทพฯ พปชร. กับ “ไผ่ ลิกค์” ส.ส.กำแพงเพชร พปชร. โดย “สิระ” ออกความเห็นให้ ร.อ.ธรรมนัสลาออก แต่ “ไผ่ ลิกค์” ออกมาค้านในสิ่งที่ “สิระ” เสนอ

จนทำให้ พล.อ.ประวิตรในฐานะประธานกรรมการยุทธศาสตร์พรรคไปเคลียร์กับทั้งคู่เพื่อสยบศึก

หากย้อนดูภูมิหลังก็จะพบว่า “สิระ” อยู่ในค่ายสามมิตร

เรียกได้ว่า “ถือหาง” คนละฝ่ายนั่นเอง

ทว่าโดมิโนหน้ากากไม่ได้เกิดขึ้นเพียงฝั่งพรรคพลังประชารัฐ แต่ลุกลามมาถึง “พรรคประชาธิปัตย์” เช่นกัน เรียกได้ว่า “เคราะห์ซ้ำ-กรรมซัด” หลังจาก “บิ๊กตู่” ลงนามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี โยก “วิชัย โภชนกิจ” อธิบดีกรมการค้าภายใน มาปฏิบัติหน้าที่ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี จากกรณีการกักตุนและจำหน่ายหน้ากากอนามัย ที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น

โดยก่อนหน้านี้ก็มีศึก “รัฐชนรัฐ” หลัง “วิชัย” ได้เดินทางมาที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เพื่อแจ้งความเอาผิด “ชัยยุทธ คำคุณ” โฆษกกรมศุลกากร ฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา ทำให้เกิดความเสียหาย หลัง “ชัยยุทธ” ออกมาแถลงข่าวเปิดเผยข้อมูลตัวเลขส่งออกหน้ากากอนามัยในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2563 รวมกว่า 330 ตัน ซึ่งสร้างความเสียหายต่อกรมการค้าภายใน

แต่ดูเหมือนเรื่องนี้จะไม่จบง่ายๆ กลายเป็น “วิชัยเอฟเฟ็กต์” ขึ้นมา โดยเฉพาะรอยร้าวที่เกิดขึ้นในรัฐบาลมากขึ้น ระหว่างพรรคพลังประชารัฐกับพรรคประชาธิปัตย์

โดยหลังคำสั่งออกเพียง 1 วัน “วิชัย โภชนกิจ” เดินทางมายังกระทรวงพาณิชย์ เพื่อให้นโยบายและอำลาข้าราชการ โดยในบางช่วง “วิชัย” ถึงกับหลั่งน้ำตาออกมา พร้อมกล่าวว่า มีบ้างที่น้อยใจ แต่หลังจากลาออกไปก็จะมีผู้บริหารระดับสูงมาสานต่องานเรื่องราคาสินค้า ลดภาระค่าครองชีพของประชาชน และประเด็นเรื่องหน้ากากอนามัยต่อจากตนเอง คือ “ฉัตรชัย ศักดิ์ศิลปชัย” ผู้ตรวจราชการกระทรวงพาณิชย์ และ “พูนพงษ์ นัยนาภากรณ์” รองอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ซึ่งจากนี้ไปมีภารกิจที่รอพวกเราต้องแก้ไขอีกมากมาย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่ยากมากๆ และความเป็นไปที่จะสำเร็จริบหรี่เหมือนแค่ตะเกียบคู่เดียวไปงัดไม้ซุง แต่ผมภูมิใจที่ทีมงานของผมได้ทำ และขอชื่นชมกับสิ่งที่ได้ร่วมทำกันมา

ซึ่งต่อมา “วิชัย” ได้ยื่นหนังสือลาออกจากราชการถึงปลัดกระทรวงพาณิชย์ และขอลาพักร้อนถึง 23 เมษายนนี้

ทว่าการลาออกกลับถูกเบรก หลัง “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ได้ออกมาเปิดเผยว่า “ได้พูดคุยกับท่าน ว่าไม่อยากเห็นท่านลาออก ด้วยความเห็นใจและด้วยความเข้าใจ ว่าที่ผ่านมาท่านทำหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถและทุ่มเทในการทำงาน ในช่วงที่ทำงานด้วยกันท่านก็ตั้งใจทำงานทุกอย่างทุกด้าน”

แต่สิ่งที่ทำให้เกิดความฉงนใจ หลังสื่อถามว่าก่อนนายกฯ ออกคำสั่งย้าย “วิชัย” นั้น นายกฯ ได้แจ้งมาก่อนหรือไม่ โดย “จุรินทร์” เผยว่า นายกฯ แจ้งให้ทราบภายหลัง

จากนั้นสื่อได้ถามไปยัง “วิชัย” ถึงข่าวที่ “จุรินทร์” สั่งระงับหนังสือการลาออกจากราชการว่า ตนยังไม่ทราบเรื่องดังกล่าว และยังไม่ขอแสดงความเห็นใดๆ ในขณะนี้ ช่วงนี้ตนเองอยู่ในช่วงการลาพักร้อน ซึ่งได้ยื่นไว้ถึง 23 เมษายนนี้ คงต้องขอใช้สิทธิการพักร้อนไประยะหนึ่งก่อน แต่หากได้รับการติดต่อจากรองนายกฯ ก็พร้อมเข้ามารายงานตัวและชี้แจงประเด็นต่างๆ

จึงเกิดคำถามถึงความสัมพันธ์ระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลขึ้นมา ระหว่าง พปชร. และ ปชป. ซึ่ง “จุรินทร์” ได้ตอบเพียงสั้นๆ ว่า เป็นเรื่องที่ตนไม่สามารถคาดการณ์ได้ เพราะเป็นเรื่องของอนาคต

ทว่าเรื่องราวของ “พรรคสีฟ้า” ยังไม่จบเท่านี้ หลัง “อัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์” ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม นำหลักฐานข้อมูลการกักตุนหน้ากากอนามัยมามอบให้ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รอง ผบ.ตร. เพื่อให้ดำเนินการตรวจสอบกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้อง

โดย “อัจฉริยะ” เปิดเผยว่า เอกสารที่นำมาทั้งหมดเกี่ยวข้องกับขบวนการค้าหน้ากากอนามัยทั้งในและต่างประเทศ เชื่อมโยงกับนักการเมืองหลายกลุ่ม “มีหญิงสาว” เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีในรัฐบาลเป็นคนรับส่วนต่างจากบริษัทที่ส่งออกหน้ากากอนามัยไปยังต่างประเทศ และมีข้อมูลว่า 14 บริษัทเอกชนเกี่ยวข้องกับการหายไปของหน้ากากอนามัยจำนวนมาก

จากนั้น “ติ่ง-มัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข” ที่ปรึกษา รมว.พาณิชย์ ได้มอบอำนาจให้ทนายความดำเนินคดีกับ “อัจฉริยะ” ในข้อหาหรือฐานความผิดเรื่องหมิ่นประมาท, หมิ่นประมาทโดยการโฆษณา และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ หรือความผิดตามกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ต่อศาลที่มีอำนาจจนกว่าคดีจะถึงที่สุด

ซึ่ง “ติ่ง มัลลิกา” ได้ออกมายืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเอง 3 ข้อ และท้านายอัจฉริยะสาบานด้วย

1. ขอปฏิเสธว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับเรื่องการส่งออกหน้ากากอนามัย หรือกิจการใดของผู้ประกอบการเกี่ยวกับหน้ากากอนามัยทั้งสิ้น

2. ขอปฏิเสธว่าไม่รู้จัก ไม่มีความสัมพันธ์ ไม่ได้ผูกพัน ไม่ได้ใกล้ชิด ไม่ได้มีมิตรคนใดไปเกี่ยวข้องกับกิจการหน้ากากอนามัยของบริษัทใดทั้งสิ้น

3. ในการทำหน้าที่ขออนุญาต ตามระเบียบราชการนั้น จะมีคณะอนุกรรมการจากกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) ซึ่งฝ่ายข้าราชการการเมืองไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงได้

ทั้งหมดนี้เป็นมรสุม “โควิด-19” ที่หลอนรัฐบาลไม่จบไม่สิ้น

รวมทั้งเป็น “จุดตัดสำคัญ” ระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะ 3 พรรคใหญ่ที่คุมกระทรวงที่เป็นแม่ทัพหลักในการรับมือการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส

ซึ่งหลังจบวิกฤต “โควิด-19” ไปแล้ว เชื่อได้ว่าจะต้องมีการ “ฆ่าเชื้อกันเอง” ภายในรัฐบาล

ในสภาพที่แต่ละฝ่าย “เมาหมัด-อ่วม” ไปทั้งตัว