หนุ่มเมืองจันท์ | คิดย้อนศร

หนุ่มเมืองจันท์facebook.com/boycitychanFC

ครั้งหนึ่ง “ยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ เจแปน” หรือ USJ เคยประสบปัญหายอดผู้เยี่ยมชมลดลงเรื่อยๆ

จากปีแรกที่เปิดตัวมีลูกค้า 11 ล้านคน

ลดระดับเหลือประมาณ 8-9 ล้านคน ในช่วง 10 ปีต่อมา

และต่ำสุดอยู่ที่ 7 ล้านคน

“โมริโอกะ สึโยชิ” เข้ามาทำงานที่ USJ ในช่วงนั้น

USJ มีแผนลงทุนครั้งใหญ่กับ “The Wizarding Worldof Harry Potter” เพื่อเป็นจรวดลูกใหม่ดึงดูดคนเข้ามาเที่ยวเพิ่มขึ้น

“ธีมปาร์ก” ต้องลงทุนกับของเล่นใหม่ๆ เป็นระยะ

งบประมาณในการลงทุนโครงการนี้สูงมาก

45,000 ล้านเยน

ในขณะที่ USJ มีรายได้ปีละ 80,000 ล้านเยน

ดูตัวเลขแล้วน่ากลัวมาก

แต่ที่น่ากลัวกว่าก็คือ “TheWizarding World of Harry Potter” ใช้เวลาก่อสร้าง 3 ปี

ต้องใช้เงินลงทุนสูง และกว่าจะได้ผลตอบแทนคือ อีก 3 ปีข้างหน้า

หมายความว่าระหว่าง 3 ปีที่รอเวทมนตร์ของ “แฮรี่ พอตเตอร์”

USJ ต้องหาของเล่นใหม่ๆ มาดึงดูดลูกค้า

เพื่อทำให้จำนวนคนเยี่ยมชมสูงขึ้น

เพราะถ้าปล่อยตามยถากรรม ลูกค้าลดลงเรื่อยๆ

รายได้จะไม่พอกับงบฯ การลงทุนที่วางแผนไว้

1. ต้องมีของเล่นหรือกิจกรรมใหม่ในช่วง 3 ปีนี้

และ 2. ทุกโครงการมีเงินลงทุนน้อยมาก

โจทย์นี้ยากมากเลยครับ

แต่ทุกครั้งที่ “ข้อจำกัด” เยอะๆ

“ความคิดสร้างสรรค์” จะบังเกิด

เหมือนกับการเขียนหนังสือ

จะถึง “เดดไลน์” เมื่อไร

แรงบันดาลใจกระฉูดทุกครั้งไป

ครั้งนี้ก็เช่นกัน

มีหลายโครงการที่ “โมริโอกะ สึโยชิ” คิดขึ้นมาโดยใช้เงินลงทุนน้อยมาก

ที่ผมชอบมากคือ กิจกรรมวันฮัลโลวีน

ในช่วง 1 ปี จะมีอีเวนต์ที่สำคัญอยู่ 3 อีเวนต์ คือ ฤดูร้อน ฮัลโลวีน คริสต์มาส

ที่แย่ที่สุดคือ เทศกาลฮัลโลวีน ที่จัดตั้งแต่กลางเดือนกันยายนถึงต้นเดือนพฤศจิกายน

มีคนที่ตั้งใจมาเที่ยวเทศกาลนี้เพียงแค่ 70,000 คนเท่านั้นเอง

ตอนแรก เขาตั้งเป้าหมายคือเพิ่มยอดผู้เยี่ยมชมอีกเท่าตัว

จาก 70,000 เป็น 140,000 คน

“สึโยชิ” เริ่มต้นจากความพยายามเข้าใจผู้บริโภค

“คนญี่ปุ่น” กับ “ฮัลโลวีน”

เขาพบว่า ผู้หญิงญี่ปุ่นไม่ค่อยกล้าพูดหรือกล้าแสดงออก

กิจกรรมวันฮัลโลวีนน่าจะเป็นวันปลดปล่อยให้ผู้หญิงญี่ปุ่นตะโกนดังๆ หรือทำอะไรบ้าๆ ได้

จากนั้น ก็ไปดูกิจกรรมที่ USJ เคยทำอยู่แล้ว

ดูไปเรื่อยๆ

เพื่อค้นหาไอเดีย

แล้วเขาก็พบว่ามีอีเวนต์เล็กๆ ที่ลูกค้าชอบ คือ “ซอมบี้”

โปรดักชั่นที่สมจริงของ “ยูนิเวอร์แซล” ทำให้ผู้หญิงส่งเสียงกรี๊ดสนั่นทุกคน

เขาตั้งคำถามง่ายๆ ว่า ทำไม “ซอมบี้” ต้องอยู่ในที่แคบๆ

ทำไมเราไม่ปล่อย “ซอมบี้” ไปอาละวาดทั่ว USJ

เดินไปที่ไหนก็เจอ “ซอมบี้”

ทำให้ตอนกลางคืนที่นี่กลายเป็น “บ้านผีสิง”

แค่คิดก็สนุกแล้ว

ที่สำคัญที่สุด งบประมาณที่ใช้ในโครงการนี้น้อยมาก

เพราะไม่ได้ลงทุนงบฯ ก่อสร้างเหมือนการสร้างเครื่องเล่น

แต่ลงทุนแค่ “คน”

จ้าง “คน” มาเป็น “ซอมบี้”

จบเทศกาลก็เลิก

วันแรก เขาตั้งเป้าไว้ที่ 20,000 คน

แต่ผลที่ออกมา มีคนอยู่ยาวถึงตะวันตกดิน เพื่อสนุกกับ “HalloweenHorror Night”

60,000 คน

และจากเป้าหมายตลอดเทศกาล 140,000 คน

จบงานมีคนเข้าร่วม 400,000 คน

มากกว่าจำนวนคนที่ได้จากเครื่องเล่นขนาดใหญ่ที่ลงทุนเป็นพันล้านเสียอีก

จากโครงการนี้ทำให้ “สึโยชิ” ค้นพบความลับเรื่องหนึ่ง

“มนุษย์” คือ เครื่องเล่นที่สุดยอดที่สุด

แต่ไอเดียทั้งหมด เรื่องที่ผมชอบที่สุดคือ การปรับปรุง “รถไฟเหาะ”

ตอนนั้น “สึโยชิ” เจอโจทย์บังคับว่าต้องมี “ของเล่นใหม่”

แต่มีงบฯ ก่อสร้างแค่ 2,000 ล้านเยน

ซึ่งถือว่าน้อยมาก

งบฯ น้อยแต่ต้องดึงคนมาเพิ่มให้ได้ 20%

และคนเล่นต้องรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในโลก

สิ่งแรกที่เขาคิดก็คือ สร้างใหม่ไม่ได้ เพราะใช้เวลาเยอะและเกินงบฯ

ดังนั้น ต้อง “รีโนเวต”

เอาสิ่งเก่ามาปรับปรุงใหม่

หัวหน้าเก่าเคยสอน “สึโยชิ” ว่า “ถ้าเจอปัญหา คำตอบย่อมอยู่ที่หน้างาน”

การนั่งจินตนาการอยู่ในห้องประชุมไม่มีทางแก้ปัญหาได้

เขาเดินดูของเล่นใน USJ ทุกชิ้น

ดูซ้ำแล้วซ้ำอีก

มีเครื่องเล่นหนึ่งที่เขาสนใจมาก คือ “HollywoodDream” รถไฟเหาะที่ถือเป็นความภูมิใจของ USJ

เขาเห็นคนบนรถไฟเหาะส่งเสียงกรี๊ดอย่างสนุกสนาน

“สึโยชิ” มองแล้วมองอีก แต่ก็คิดไม่ออกว่าจะทำอะไรกับ “รถไฟเหาะ” ได้บ้าง

แล้วคืนนั้นเขาก็ฝัน

ภาพในฝันคือ รถไฟเหาะที่เขาเห็นตอนกลางวันแต่วิ่งไปในทิศทางตรงข้าม

…รถไฟเหาะวิ่งถอยหลัง

เขาลุกพรวดขึ้นมา

ตอนนั้นเวลาตีสองกับ 34 นาที

นี่คือ ที่มาของไอเดียที่สุดยิ่งใหญ่

“Hollywood Dream-The Ride-Backdrop”

ลองจินตนาการดูสิครับ แค่รถไฟเหาะธรรมดาเรายังหวาดเสียวแค่ไหน

แต่ถ้ารถไฟวิ่งถอยหลัง

คนเล่นมองไม่เห็นว่าทางข้างหน้าของรถไฟเป็นอย่างไร

อยู่ดีๆ รถไฟเหาะดิ่งตัวลงโดยที่เราไม่รู้ตัว

มันต้องยิ่งหวาดเสียวกว่าเดิมแน่เลย

แค่ “เห็น” กับ “ไม่เห็น” ความหวาดเสียวแตกต่างกันมาก

โครงการนี้ใช้งบประมาณน้อยมาก เพราะไม่ต้องสร้างรางใหม่

แค่กลับขบวนรถไฟใหม่จากหน้าไปหลัง-จากหลังไปหน้า

ทาสีใหม่เป็นสีแดง

เพิ่มดนตรีประกอบใหม่

ผลปรากฏว่า ยอดคนที่รอคิวขึ้นเครื่องนี้ยาวนานที่สุดในญี่ปุ่น คือ 9 ชั่วโมง 40 นาที

ผู้เยี่ยมชมสูงถึง 10 ล้านคน

นี่คือ สุดยอด “ความคิดสร้างสรรค์” ที่ “สึโยชิ” ชอบที่สุด

เขาจึงเลือกตั้งชื่อหนังสือที่เขาเขียนว่า “ทำไมรถไฟเหาะของ USJ ถึงวิ่งถอยหลัง

ที่ผมไม่บอกชื่อหนังสือก่อน เพราะกลัวว่าจะเล่าแล้วไม่สนุกครับ

ผมชอบไอเดียนี้มาก

เพราะเป็นเรื่องง่ายๆ ที่นึกไม่ถึง

ครับ ถ้าแฟชั่นยังย้อนยุคได้

ทำไมรถไฟจะวิ่งถอยหลังไม่ได้

รถไฟเมืองไทยก็คงคิดแบบเดียวกัน

ประเทศอื่นเขาไปข้างหน้า

มีรถไฟฟ้าความเร็วสูงกันแล้ว

แต่ของเรายังคล้ายๆ อยู่ในสมัยรัชกาลที่ 5 อยู่เลย

…”ถอยหลัง” เหมือนกัน