บทความพิเศษ/นงนุช สิงหเดชะ/ระวังเจ๊งเพราะ (โกง) หน้ากาก สั่นคลอนศรัทธา ‘ประยุทธ์’

บทความพิเศษ/นงนุช สิงหเดชะ

ระวังเจ๊งเพราะ (โกง) หน้ากาก

สั่นคลอนศรัทธา ‘ประยุทธ์’

สภาพรัฐบาลในขณะนี้กำลังจะยืนยันอีกครั้งถึงความแม่นยำของสุภาษิต “สนิมเกิดแต่เนื้อในตน” ไม่มีใครมาทำลายเราได้ นอกจากตัวเราเอง

ที่ผ่านมาปัญหาเรื่องเสถียรภาพทางการเมือง รัฐบาลเอาตัวรอดได้หลายครั้ง ส่วนปัญหาเศรษฐกิจแม้ประชาชนจะไม่พอใจ แต่ก็ยังไม่วิกฤตต่อรัฐบาล เท่ากับปัญหาอื้อฉาวที่มีผู้ใกล้ชิดของ รมต.บางคนไปพัวพันกับการกักตุนหน้ากากอนามัยนับล้านชิ้นเพื่อส่งออกและขายทำกำไร

ความโกรธที่สุดของประชาชนไม่ได้อยู่ที่การรับมือของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือโควิด-19 เพราะถ้าเทียบกับประเทศอื่นแล้วของไทยจัดว่าอยู่ในเกณฑ์ดีสมฐานะประเทศที่ได้ตำแหน่งอันดับ 6 ของโลกในการรับมือการระบาดของโรคได้ดีที่สุดและอันดับ 1 ของเอเชีย เพราะจำนวนผู้ติดเชื้อยังอยู่ในระดับหลักสิบ ทั้งที่ช่วงแรกๆ เราติดเชื้ออยู่ในอันดับต้นๆ ของโลก ต่างจากประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศ ต่างมีผู้ติดเชื้อในระดับหลายร้อยจนถึงหลายพัน

แม้แต่อเมริกา ซึ่งได้ตำแหน่งอันดับ 1 ของโลกด้านการรับมือโรคระบาด จำนวนผู้ติดเชื้อกระโดดไปแตะหลักพันอย่างรวดเร็ว (ข้อมูลจอห์น ฮอปกินส์) จากเริ่มต้นแค่ 15 จนต้องประกาศภาวะฉุกเฉินในหลายรัฐ

ความโกรธที่สุดของประชาชน ไม่ได้อยู่ที่ปัญหาการขาดแคลนหน้ากากอนามัย เพราะส่วนหนึ่งเข้าใจว่าการแตกตื่นของประชาชนที่ทำให้ความต้องการหน้ากากพุ่งขึ้นสูงมากอย่างฉับพลันในเวลาอันสั้น การผลิตย่อมไม่ทันต่อความต้องการ ซึ่งภาวะขาดแคลนนี้ก็เกิดขึ้นทั่วโลก

แต่ความโกรธที่สุดของประชาชนอยู่ที่มีการแฉว่านายพิตตินันท์ รักเอียด อดีตผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคพลังประชารัฐ ปัจจุบันมีตำแหน่งเป็นทีมงานของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ ไปพัวพันกับแก๊งกักตุนหน้ากากอนามัยหลายล้านชิ้น

ประชาชนโกรธมากเพราะว่าในขณะที่ต้องดิ้นรน เสียเวลาไปเข้าคิวรอซื้อหน้ากากอย่างยากลำบากตั้งแต่ตี 3 ตี 4 แต่คนที่เกี่ยวข้องในรัฐบาลกลับไร้จิตสำนึกซ้ำเติมทุกข์ของประชาชน

 

เรื่องนี้ถูกแฉโดยเพจดังเพจหนึ่ง ซึ่งมีผู้ติดตามจำนวนมาก และผู้เข้ามาคอมเมนต์ต่างแสดงความโกรธแค้นอย่างมาก ซึ่งไม่แน่ใจว่าทีมงานของรัฐบาลเคยเข้าไปอ่านหรือไม่ ซึ่งขอเตือนว่าอย่าประมาทเพราะขณะนี้กระแสไม่พอใจรัฐบาลเรื่องหน้ากากปลุกขึ้นและจุดติดแล้ว

หนำซ้ำการที่มีหมอเผยแพร่ภาพผ่านทางโลกออนไลน์ อันเป็นภาพที่เลือดคนไข้กระเด็นเต็มใบหน้าหมอผ่าตัด พร้อมกับขอรับบริจาคหน้ากากอนามัยเนื่องจากภาครัฐไม่สามารถจัดหาให้ได้เพียงพอนั้น ยิ่งทำให้ประชาชนรู้สึกเห็นใจบุคลากรทางการแพทย์ และโกรธแค้นรัฐบาลที่ไม่ดูแลบุคลากรทางการแพทย์ที่อยู่ในภาวะเสี่ยงมากกว่าคนทั่วไป

ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีหมอ พยาบาลออกมาติดแฮชแท็ก “หน้ากากไม่พอ แต่บอกพอ” (เสียดสีภาครัฐที่อ้างว่าหน้ากากเพียงพอ) พร้อมกับเรียกร้องให้รัฐบาลงดแจกเงินประชาชน 2,000 บาทเพื่อบรรเทาปัญหาเศรษฐกิจอันเนื่องมาจากโควิด-19 เพราะสิ่งที่พวกเขาต้องการไม่ใช่เงิน แต่คือหน้ากาก

ในโลกโซเชียลยังต่อว่ารัฐบาลว่า ถ้ามีเงินไปแจกประชาชนหัวละ 2,000 บาท แล้วจะมาเปิดรับบริจาคเงินจากประชาชนเพื่อไปแก้ไขปัญหาการระบาดของโควิด-19 ทำไม ดูเป็นการกระทำที่ย้อนแย้งกันเอง ซึ่งในที่สุดนายกรัฐมนตรีสั่งถอย ไม่แจกเงิน 2,000 บาทแล้ว

ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะผลจากโพลที่ชี้ว่าประชาชนเกิน 70% ไม่เห็นด้วยกับมาตรการนี้

 

จริงๆ ในสถานการณ์พิเศษเช่นนี้ การแจกเงินก็ไม่ได้เลวร้าย เพราะหลังจากไวรัสระบาดมีบางประเทศก็ทำเช่นเดียวกัน อาทิ สิงคโปร์ ฮ่องกง เพื่อพยุงเศรษฐกิจเฉพาะหน้าชั่วคราว ซึ่งเรียกว่ามาตรการการคลัง เนื่องจากในสภาพที่ภาคเอกชนและครัวเรือนหยุดการใช้จ่าย เครื่องยนต์เดียวที่เหลืออยู่ก็คือภาครัฐที่จะต้องนำร่องการใช้จ่ายเพื่อให้เงินสะพัดในระบบเศรษฐกิจ อย่างน้อยก็มีออกซิเจนหล่อเลี้ยงคนไข้เอาไว้ ดีกว่าปล่อยให้ตายไปเลย ถึงแม้จะช่วยไม่ได้มาก แต่ยังดีกว่าไม่ทำอะไร

แม้แต่ไอเอ็มเอฟก็ยังแนะนำให้ทั่วโลกออกมาตรการพยุงเศรษฐกิจโดยหนึ่งในนั้นก็คือแจกเงินโดยตรง เพียงแต่การอธิบายให้ประชาชนเข้าใจเรื่องเศรษฐศาสตร์อาจจะยากสักหน่อย รัฐบาลเองก็ไม่มีประสิทธิภาพในการอธิบายหรือสื่อสาร การต่อต้านจึงสูง

หลังจากนี้ประเด็นที่จะเป็นจุดตายแท้จริงของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ก็คือ การไม่เด็ดขาดที่จะจัดการปัญหาเรื่องทีมงานของ ร.อ.ธรรมนัส ที่ไปพัวพันกับการกักตุนหน้ากาก

เพราะคำชี้แจงของนายพิตตินันท์ว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องนั้นฟังไม่ขึ้นเลย เมื่อถูกผู้สื่อข่าวซักถามก็อึกๆ อักๆ ตอบคำถามไม่สมเหตุสมผลเรื่องที่ไม่รู้จักนายศรสุวีร์ ภู่รวีรัศวัชรี หรือบอย ที่เป็นนายหน้าค้าหน้ากาก

ส่วน ร.อ.ธรรมนัสเอง ก่อนหน้านี้ก็มีจุดอ่อนอยู่แล้วเรื่องการไปพัวพันคดียาเสพติดในออสเตรเลีย จนเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์เมื่อได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลไปครั้งหนึ่งแล้ว เมื่อมาเกิดปัญหานี้ ยิ่งทำให้สาธารณชนค่อนข้างเชื่อว่าคนใกล้ชิดของ ร.อ.ธรรมนัสน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องจริง

จริงอยู่การที่นายบอยอ้างว่ามีหน้ากากอยู่ในมือถึง 200 ล้านชิ้น อาจไม่สมเหตุผล เพราะไทยมีกำลังผลิตเดือนละเพียง 36 ล้านชิ้นเท่านั้น แต่การกักตุนเพื่อค้ากำไรเกินควรน่าจะมีแน่ อาจเป็นไปได้ที่อย่างน้อยจะอยู่ในระดับหลายแสนชิ้น ซึ่งก็คือพฤติกรรมที่รับไม่ได้และผิดกฎหมายอยู่ดี

โดยเฉพาะเมื่อมีคนใกล้ชิด รมต.ไปพัวพันด้วย

 

ด้าน พล.อ.ประยุทธ์เองก็คล้ายจะลอยตัว อ้างเพียงว่าให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม ซึ่งคงลืมไปว่าในทางการเมืองนั้น “สปิริต” สำคัญกว่ากระบวนการยุติธรรม เพราะจะช่วยกู้ศรัทธาของรัฐบาลกลับมาได้เร็วและทันการณ์กว่า

ที่เป็นปัญหาหนักกว่านั้นก็คือ พล.อ.ประยุทธ์ออกมาท้าทายเมื่อมีบางคนในพรรคประชาธิปัตย์ออกมาเรียกร้องให้ประชาธิปัตย์ถอนตัวจากรัฐบาล เพื่อจะได้ไม่ต้องพายเรือให้โจรนั่ง โดยพล.อ.ประยุทธ์พูดว่า “ก็ถอนไปสิ”

ท่าทีแบบนี้ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์เสียหายหนัก เพราะเท่ากับไม่ใส่ใจจะแก้ปัญหาเรื่องทุจริตหน้ากากอย่างจริงจัง มองว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยและดูเหมือนจะเข้าข้าง ร.อ.ธรรมนัส

หากไม่จัดการเรื่องนี้ให้หมดจด ให้ประชาชนสิ้นสงสัย ในที่สุด พล.อ.ประยุทธ์ก็จะไม่ต่างจากรัฐบาลทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ที่ถูกรัฐประหารมาแล้วจากเรื่องทุจริต

สุดท้ายก็คงเป็นอย่างที่ นพ.ระวี มาศฉมาดล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังธรรมใหม่ กล่าวไว้ว่า เรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อรัฐบาลค่อนข้างมาก ถึงแม้ ร.อ.ธรรมนัสจะออกมาชี้แจงยืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไร ประชาชนก็คงไม่เชื่อ

“เมื่อเรื่องนี้สร้างความเสียหายให้กับ ร.อ.ธรรมนัส ก็ย่อมสร้างความเสียหายให้กับรัฐบาลเช่นกัน ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์อย่าออกมาแถลงว่า ร.อ.ธรรมนัสไม่เกี่ยวข้องและไม่ผิด เพราะไม่เช่นนั้นนายกรัฐมนตรีจะตายแทน”

สรุปให้เข้าใจชัดๆ ก็คือ ถ้าธรรมนัสไม่จัดการพิตตินันท์ ธรรมนัสก็เน่า และถ้า พล.อ.ประยุทธ์ไม่จัดการธรรมนัส พล.อ.ประยุทธ์ก็จะโดนประชาชนจัดการ