คำ ผกา | โง่ เฮงซวย ด้อยค่า

คำ ผกา

ฉันไม่อยากได้ชื่อว่าเป็นคนลำเลิกเรื่องเก่า ย้ำคิดย้ำทำ

แต่พอเห็นทุกความระยำตำบอนที่เกิดขึ้นในสังคมไทยตอนนี้ฉันก็อยากจะเดินไปหาอดีตพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และอดีต กปปส.ทุกคนว่า นี่คือ “การปฏิรูปประเทศ” ที่ใฝ่ฝันกันเอาไว้นักหนาใช่หรือไม่?

นึกย้อนไปเมื่อครั้งที่เราอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญปี 2540 แล้ว บรรดา “คนดี” ก็ระอา เบื่อหน่าย เกลียดชังนักการเมืองที่คอร์รัปชั่น ละเมิดสิทธิมนุษยชน พูดภาษาอังกฤษห่วย (ค่ะ ขอย้อนความทรงจำให้ฟังว่า ในยุคนั้น อีลีตชนชั้นกลางไทยที่แสนดัดจริตฟังสำเนียงภาษาอังกฤษของทักษิณ แล้วเบ้ปาก บอกว่า สำเนียงไทยบ้านนอก น่าอายจัง ตลกจัง นี่เป็น “ทิงลิช” บ้างอะไรบ้าง รัฐประหารไปสองครั้ง ได้นายกฯ “ลุงตู่” ที่สลิ่มรักชิบหายมาพูดภาษาอังกฤษในระดับที่แย่กว่างูๆ ปลาๆ สลิ่มหน้าด้านเถียงว่า – ผู้นำที่เก่งไม่เห็นต้องพูดภาษาอังกฤษ ใครๆ เขาก็ใช้ล่ามกันทั้งนั้น สีจิ้นผิงยังใช้ล่าม – นี่คือสันดานสลิ่มที่เราเจอมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา)

เราเสียรัฐธรรมนูญปี 2540 ไป เพียงเพราะสลิ่มเกลียดทักษิณ แล้วดันทุรังล้มประชาธิปไตย ดันทุรังสร้างความชอบธรรมให้กองทัพออกมารัฐประหาร หน้าระรื่นเอาดอกไม้ ดอกกุหลาบไปให้ทหารหลังวันรัฐประหารปี 2549

สะใจเหลือเกิน ทักษิณถูกกำจัดไปแล้ว

แต่เมื่อรัฐประหาร 2549 เป็นเรื่อง “เสียของ” เพราะสลิ่มเป็น “คนส่วนน้อย” ที่เส้นใหญ่ เล่น “โกง” ด้วยการเอาทหารมากำจัด “คู่แข่ง” ที่ตัวเองไม่มีวันชนะในระบบเลือกตั้ง หวังใจว่า ไล่ทักษิณออกไปแล้ว ทีนี้ก็แกล้งๆ กลับสู่โหมดประชาธิปไตยได้ เพราะเลือกตั้งคราวนี้เราชนะแน่อน

เหมือนคนยอมลงสนามวิ่งแข่ง 400 เมตร หลังจากจ้างมือปืนไปยิงนักวิ่งที่วิ่งเร็วกว่าตัวเองไปครบทุกคนแล้ว เหลือแต่ไก่กาอาราเร่ ยอมลงสนามเพราะมั่นใจแล้วว่าชนะแน่นอน

สลิ่มก็เช่นกัน มั่นใจว่า ขุดรากถอนโคนทักษิณ พรรคไทยรักไทย ทำให้คนเสื้อแดงกลายเป็น “คนเผาบ้านเผาเมือง” และถูกฆ่าไปตั้งมากมาย

เลือกตั้งกี่ครั้งๆ ครานี้ พรรคการเมืองและนักการเมืองที่ถูกจริตสลิ่มจะชนะการเลือกตั้งเสียที

แต่อนิจจา คนที่สร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้กับการเมืองกลับเป็นยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้หญิงที่ดูหน่อมแน้ม ไร้ประสบการณ์ เงอะๆ งะๆ เอะอะก็ยิ้มหน้าซื่อๆ ตาใสๆ ไม่เคยสะสมบารมีทางการเมืองอะไรมาเลย ใช้เวลาหาเสียง 49 วันชนะการเลือกตั้งแบบไร้ข้อสงสัย จัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมากได้อย่างไร้อุปสรรค

สลิ่มอึ้ง และไม่อาจจะยอมรับได้ว่า คนฉลาด คนมีการศึกษา คนที่ร่ำรวยสวยสะอาดอย่างพวกฉัน ทำไมต้องพ่ายแพ้ต่อพวกบ้านนอกที่คอยแต่จะเลือกนักการเมือง “เลวๆ” เข้ามาอยู่ร่ำไป

ด้วยวิสัย “สลิ่ม” ที่ไม่มีความรู้ ความเข้าใจเรื่องการเมืองแบบสากลโลกเลย (มีความคับแคบดักดานเป็นอาภรณ์) จึงพากันฟันธงว่า ระบอบประชาธิปไตยนี่น่าจะเป็นระบอบที่พาประเทศชาติฉิบหาย เพราะมันเป็นระบอบ “พวกมากลากไป” ใครมีจำนวนเสียงมากกว่า คนนั้นชนะ

กรี๊ด ถ้าอย่างนั้นเราก็ไม่มีวันชนะพวกควายแดงสิ เพราะควายแดงคนจนจนพวกนี้มีมากกว่าเรา

คนมีการศึกษา มีปัญญาอย่างเรามีจำนวนน้อย แล้วถ้าเลือกตั้งแบบนี้ จะอีกกี่รอบ เราก็ต้องแพ้ และมันก็เท่ากับว่า เราต้องอยู่ภายใต้รัฐบาลที่พวกควายแดงเลือกมาไปชั่วชีวิต!

สลิ่มได้ข้อสรุปแบบนี้จึงมีข้อสรุปว่า ประชาธิปไตยไม่เห็นจะมีอะไรดีเลย เป็นระบอบบ้าบออะไรก็ไม่รู้ปล่อยให้โจรห้าร้อยครองเมือง คนดีที่มีจำนวนน้อยกว่าก็ต้องแพ้อยู่ร่ำไป

ช่วงที่ยิ่งลักษณ์เป็นนายกฯ จึงเป็นช่วงที่สลิ่ม ฮึดฮัด กระฟัดกระเฟียด อึดอัด โกรธ

ยิ่งเห็นยิ่งลักษณ์ยิ้มไปยิ้มมา เดินทางสง่างามไปทั่วโลกในฐานะนายกฯ ที่มาจากการเลือกตั้ง สลิ่มยิ่งโกรธว่า “ไรแว้ ทำไมโลกใบนี้มันจะตื่นเต้นอะไรนักหนากับนังหญิงชั่วเร่ขายชาติ”

ไม่เพียงแต่ยิ้มไปยิ้มมา ยิ่งลักษณ์ยังพิสูจน์ตัวเองได้จากการพาประเทศรอดจากวิกฤติน้ำท่วม ซึ่งสลิ่มหนูดีออกมาโพสต์ข้อความแสนคลาสสิคว่า “น้ำท่วมไม่กลัว กลัวผู้นำโง่เพราะเราจะตายกันหมด”

ไม่ว่าจะโยนกี่วิกฤตใส่ยิ่งลักษณ์ และ ครม. ยิ่งลักษณ์ก็ดูเหมือนว่า ยิ่งลักษณ์ยิ่งแกร่ง ยิ่งได้พิสูจน์ตัวเอง และโครงการที่จะเป็น “หมุดหมาย” สำคัญที่สุดของรัฐบาลนี้ก็ได้ก่อรูปก่อร่างขึ้น นั่นคือ Thailand 2020 ที่มีพรีเซ็นเตอร์ซึ่งสลิ่มด่าไม่ได้สักคำคือ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์

ถ้าทักษิณมีสามสิบบาทรักษาทุกโรคเป็นหมุดหมายที่ใครก็ขโมยผลงานนี้ไปไม่ได้ ยิ่งลักษณ์กำลังจะมีโครงการ Thailand 2020 เป็นประวัติศาสตร์ เป็นอนุสาวรีย์ และเป็นเครื่องการันตีว่า พรรคเพื่อไทยจะชนะการเลือกตั้งซ้ำๆ

ถ้ายิ่งลักษณ์และเพื่อไทยทำเรื่องนี้สำเร็จ จะมีกลุ่มคนที่เสียผลประโยชน์จากเรื่องนี้เยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นคู่แข่งทางการเมือง กลุ่มอนุรักษนิยมที่ไม่ต้องการเห็น “สามัญชน” ถูก empower เพราะมันจะสะเทือนดุลอำนาจเดิม ที่กลุ่มอนุรักษนิยมรู้สึกสบายใจกับมันมากกว่า กลุ่มนักธุรกิจผูกขาด ที่ร่ำรวยได้เพราะผูกปิ่นโต และลงทุนกับการผูกปิ่นโตกับกลุ่มการเมือง “เก่า” ไว้มาก

พูดง่ายๆ ว่า จะมีกลุ่มเครือข่ายที่จะเสียผลประโยชน์ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม อย่างมหาศาล ถ้าสามัญชนคนไทยเข้มแข็งขึ้น พร้อมกับประชาธิปไตยที่ลงหลักปักฐานมั่นคงขึ้น

สิ่งที่สั่นคลอนพวกเขาอย่างเป็นรูปธรรมคือ ความสำเร็จของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้ ส.ว.มาจากการเลือกตั้ง อันทำให้กลุ่มอำนาจเดิม ล้างสมองอันอ่อนนิ่มของสลิ่ม ด้วยวาทกรรม “สภาผัว-เมีย”

เมื่อเป็นเช่นนี้กลุ่มคนที่เสียผลประโยชน์จาก “ความเข้มแข็งของประชาธิปไตย” จึงเห็นพ้องต้องกันว่า ควรตัดไฟแต่ต้นลม จึงเป็นที่มาของการประดิษฐ์ “ทางตัน” ทางการเมืองขึ้นมา เริ่มจากการปั่นเรื่อง จำนำข้าวว่าจะส่งผลเสียหายต่อวินัยการเงินการคลัง โจมตีว่าเป็นการแจกเงินเพื่อซื้อเสียงล่วงหน้า เอาเงินภาษีประชาชนไปซื้อเสียงคนจนเพื่อให้ตัวเองชนะ

โจมตีเรื่องอีปูโง่ เรื่องคอร์รัปชั่น โจมตีโครงการ Thailand 2020 ด้วยวาทกรรมรถขนผัก จนกระทั่งมาจบที่ศาลรัฐธรรมนูญบอกว่า ให้ถนนลูกรังหมดก่อนนะแล้วค่อยสร้าง

ภาวะทางตันทางการเมืองที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นมานั้นถูกถักทอมาตั้งแต่ม็อบ เสธ.อ้าย แช่แข็งประเทศไทย

สืบเนื่องมาจากที่สุเทพ เทือกสุบรรณ ในฉายาใหม่ว่าลุงกำนัน กลุ่มพุทธะอิสระ ปัญญาชน มีเอนก เหล่าธรรมทัศน์ จักร 5 ใบ และอีกปีกที่สำคัญคือ ปีกดารา นักร้อง ศิลปิน คนที่เล่นใหญ่ๆ เช่น ศรัณยู แตงโม ฝั่งประชาธิปัตย์ ส่งตัวเล่นมาหลายคนไม่ว่าจะเป็น จิตภัสร์ มัลลิกา ทยา และสามี

นี่คือ กปปส. ที่ถักทอขึ้นมาเป็นม็อบกิ๊บเก๋ มีพร็อพเป็นริ้วลายธงชาติ และนกหวีด

ครม.ยิ่งลักษณ์สะดุดขาตัวเองเรื่องผ่าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแบบลักหลับ แม้ในหลักการว่า ยุบสภาแล้ว คงเลือกตั้งใหม่ แต่เมื่อมันเข้าทาง กปปส.เสียขนาดนี้ ใครจะยอมให้ทุกอย่างเป็นไปตามครรลอง การปั่นให้การเมืองไปสู่ทางตันก็ยิ่งทวีความร้อนแรง

สลิ่มทั้งหลายก็ยิ่งฮึกเหิมว่ากูจะไล่อีปูได้แล้ว กูต้องไม่หยุด

สุดท้าย การเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ ก็พังพาบไปโดยละม่อม

พังพาบไปโดยที่ กกต.ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรแม้แต่คนเดียว

นอกจากจะไม่รับผิดชอบ อดีต กกต.อย่างคุณสมชัย ศรีสุทธิยากร ยังสามารถออกมาร่วมกิจกรรม วิ่งไล่ลุงได้อีก!

โดยที่ไม่เคยต้องรับผิด หรือขอโทษ หรือออกมาสารภาพอะไรเลยว่า “ถ้าวันนั้น กกต.ทำงานอย่างตรงไปตรงมา ทำงานอย่างที่ตั้งใจจะให้การเลือกตั้งมันสำเร็จ วันนี้ เราคงไม่ต้องมาวิ่งไล่ลุง”

ในวันนั้นที่สลิ่มชนะเพราะล้มเลือกตั้งได้ ทำให้เกิดรัฐประหารขึ้นมาอีกรอบได้ ไล่อีปูได้ พยายามจะเอาอีปูเข้าคุกให้ได้ สลิ่มกรีดร้องดีใจเหลือทน คิดว่าเราชนะแล้วแม่จ๋า สลิ่มกลับไปแยกย้ายทำมาหากิน มีความสุข ภายใต้รัฐบาล คสช.

รัฐบาล คสช.ไม่มีเรื่องคอร์รัปชั่น ไม่มีอะไรให้ด่า เพราะเป็นสภาฝักถั่ว ตรวจสอบอะไรไม่ได้

เป็นห้าปีแห่งการสิ้นเปลืองภาษีประชาชน ไม่มีผลงาน บริหารประเทศไม่เป็น

เวลาสองปีแรกหมดไปกับการไล่ล่า กำจัดศัตรูทางการเมือง และแจกจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนให้กับฝ่ายต่างๆ ที่ร่วมล้มประชาธิปไตยมาด้วยกัน

ทั้งหมดนี้เพื่อให้ตัวเองอยู่ในอำนาจได้อย่างมั่นคง

รัฐประหารสองครั้งเกิดขึ้นในเวลาที่ใกล้เคียงกัน ครานี้พวกเขาคุยกันว่าต้องไม่ให้เสียของ เพราะค่ารัฐประหารมันก็ไม่ใช่ถูกๆ

การเก็บงานหลักรัฐประหารปี 2557 จึงค่อนข้างเนี้ยบ ไม่รีบร้อน ค่อยร่างรัฐธรรมนูญให้รัดกุมอยู่หมัดว่าได้อยู่ในอำนาจต่อแน่ๆ แม้จะมีการเลือกตั้ง

สนุกกว่านั้นคือ มีกระบวนการแสวงหาความร่วมมือจากอดีตนัการเมืองจากขั้ว “เพื่อไทย” ตัวกลั่นๆ ให้ไปร่วมงานการเมืองกับฝ่าย “รัฐประหาร”

เรียกว่าเป็นการ collaborations ที่เหนือชั้นสุด และนั่นคือ ที่มาของพรรคพลังประชารัฐ ที่มีทั้งเทคโนแครตขี้ข้าเผด็จการ, กลุ่มนักการเมืองเก่าจากปีกเพื่อไทย, นปช., อดีตพันธมิตรฯ, กปปส. และอดีตประชาธิปัตย์

วางหมากไว้พร้อม ทั้งพรรคการเมือง, นายทุน. องค์กรอิสระ. ส.ว. เครือข่ายงานนอกสภา ในสภา การคุม กอ.รมน. การแช่แข็งเลือกตั้งท้องถิ่น การแจกเงินผ่านบัตรต่างๆ

มาขนาดนี้ เห็นกันใสๆ ว่าได้อยู่ยาว ได้ชนะการเลือกตั้งไปแบบยาวๆ เสียงปริ่มน้ำก็ไม่กลัว เพราะซื้อเติมทีหลังได้

นี่คือ by product ของ รธน.ฉบับนี้อยู่แล้ว นั่นคือ ระบบนิเวศที่เอื้อให้มีงูเห่าชุกชุม

นั่นเป็นสิ่งที่ควบคุมได้อยู่หมัด แต่นั่นล่ะ โลกมันมักจะเซอร์ไพรส์เราเสมอ

ภาวะเศรษฐกิจทรุดตัวต่อเนื่องหลายปี, ถูกซ้ำเติมด้วยสงครามการค้า, เจอพิษจากฝุ่นพิษ และหนักที่สุดเมื่อเจอโรคระบาดที่มีพระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่ามันจะเกิดขึ้น!!!

ไวรัสทำทุกอย่างดิ่งลงเหว โดยเฉพาะเศรษฐกิจ และชัดเจนว่า เทคโนแครตขี้ข้าเผด็จการนั้นเป็นเทคโนแครตที่ยังไม่หย่านมแม่ ทำอะไรไม่เป็นเลย ไร้ความสามารถโดยสิ้นเชิง และเนื่องจากเป็นรัฐบาลที่คิดเรื่องเดียวคือเรื่องอยู่ในอำนาจ และแสวงหาผลประโยชน์อย่างไม่บันยะบันยัง จึงถูกซ้ำเติมไม่ยั้งทั้งจากการขุด แฉ ความชั่ว ทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคตของบุคคลใน ครม.

ซ้ำร้ายที่สุด เมื่อไวรัสระบาดแล้ว จัดการอะไรไม่ได้ หน้ากากขาดตลาด โรงพยาบาลไม่มีใช้

คนที่เคยเป็นฟันเฟืองให้รัฐบาล ข้าราชการ กลายเป็นคนที่ออกมาเปิดโปงความเหลวแหลกเละเทะ ไร้ประสิทธิภาพ ไร้น้ำยาของรัฐบาลเสียเอง หนักกว่านั้น เมื่อมีการเปิดโปงว่า ผู้ช่วย รมต.เป็นคนกักตุนหน้ากาก ประกาศขาย โชว์ความร่ำรวย อย่างโจ๋งครึ้ม ทั้งๆ ที่ รมต.ยังเคลียร์เรื่อง “แป้ง” ไม่ได้

ม็อบนักศึกษาก็จุดติด ลุกลาม ความล้มเหลวอย่างสมบูรณ์แบบของรัฐบาลก็เป็นที่ประจักษ์แก่สังคม จนมีวันที่สลิ่มเริ่ม “พ้อ” ว่าปกป้องไม่ไหวแล้ว

และแล้ว “เห็บ” ก็ปรากฏ กระโดดกันหย็องแหย็ง

แต่สลิ่มก็คือสลิ่ม สลิ่มไม่มีวันสำนึกได้ว่า นี่ไม่ใช่เรื่องตัวบุคคล สลิ่มอาจจะอยากให้มี รปห.อีก

สลิ่มอาจจะอยากให้ปรับ ครม.

สลิ่มอาจจะอยากเปลี่ยนตัวนายกฯ

สลิ่มยังคงกลัวประชาธิปไตย แต่ฉันอยากจะบอกว่า ความพังพินาศ หายนะในทุกมิติของสังคมไทยทุกวันนี้เกิดจากการที่สลิ่มไปร่วมล้มประชาธิปไตย

ที่เราจน เจ็บ และอาจจะตายได้ทุกนาที ไม่มีหน้ากาก ขาดแอลกอฮอล์ และไม่รู้ว่าไวรัสจะมาฉีกทึ้งปอดของเราออกเป็นชิ้นๆ ในวันไหน ไม่ใช่แค่เรามี ผนง. แต่เพราะเราขาดประชาธิปไตยในสังคมมาเกินทศวรรษ

ผนงรจตกม นั้นถูกแค่ครึ่งเดียว ลำพังผู้นำโง่ ไม่ทำให้ใครตาย แต่ภาวะการขาดซึ่งประชาธิปไตย อำนาจของประชาชน และการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนต่างหากที่ทำให้ประชาชนตาย

เราจะตายเพราะรัฐบาลจะโง่และเฮงซวยได้โดยไม่ต้องมีความรับผิดชอบใดๆ เลยต่างหาก