จรัญ พงษ์จีน : สีหน้า “ประยุทธ์” กับขาลงความเร็วสูง

จรัญ พงษ์จีน

ต้องยอมรับว่าสถานการณ์ของ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรีในขณะนี้ตกที่นั่ง “ขาลง” ค่อนข้างหนัก และอยู่ในข่าย “ลงลิฟต์” ชนิดรูดปรื๊ดจากตึกสูง…พายุการบ้านการเมือง ปัญหาสังคม สับปะรังเค จิปาถะหลั่งไหลมาบรรจบ ต่อแถวยาวเป็นหางว่าว ราวกับ “คืนฝนตก”

6 ปี นับตั้งแต่ “คสช.” ปฏิวัติ ยึดอำนาจ ล้มกระดานการปกครองระบอบประชาธิปไตยมาตั้งแต่ต้นปี 2557 หรือจำแลงแปลงกายสู่ถนนอีกสาย ประวัติศาสตร์อีกหน้าเป็น “นายกฯ เลือกตั้ง” ตามกลไกแห่งรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 แล้ว

แต่ “พล.อ.ประยุทธ์” กำลังจะพานพบกับสัจธรรมความจริงว่า โลกใบนี้ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน ยุบหนอ พองหนอ วันนี้เหน็ดเหนื่อยเมื่อยตุ้ม “อุกฤษฏ์” หนักที่สุด ขึ้นหลังเสือ ขี่พายุดันเมฆมาได้อย่างสง่างาม แต่มิรู้ว่าจะลงจากหลังเสืออย่างไรไม่ให้ “เสือกัด”

“บิ๊กตู่” รากงอกผูกขาดอำนาจมา 6 ปีเต็มแล้ว คิดจะลงจากหลังเสืออย่างไรไม่ให้เสือกัด เสือกิน หรือจำต้องขี่ต่อไปแม้ไม่อยากขี่

 

พูดถึง “คนขี่หลังเสือ” ก็นึกถึงหนังสือแปลจากเรื่อง “He Who Rides A Tiger” อันเป็นผลงานประพันธ์ของ “ดร.ภวานี ภัฏฏาจารย์” ชาวอินเดีย และ “จิตร ภูมิศักดิ์” นักเขียน นักต่อสู้ของไทยในอดีต นำมาแปลและเรียบเรียง แต่ไม่ได้พิมพ์ ซึ่งต่อมา “ภิรมย์ ภูมิศักดิ์” พี่สาวพบต้นฉบับที่เป็นลายมือของน้องชาย จึงนำมาตีพิมพ์ และเคยนำมาสรุปเปรียบเปรยใน “ลึกแต่ไม่ลับ” มาแล้วหนหนึ่ง

“คนขี่หลังเสือ” เปิดตัวละครเอกชื่อ “กาโล” กรรมกรช่างตีเหล็ก ชนชั้น “กมาร” วรรณะต่ำสุด สาขาหนึ่งของวรรณะศูทร อาศัยอยู่ในเขตชนบท มีฐานะยากจนแสนเข็ญ แต่งงานและมีลูกสาวนามว่า “จันทรเลขา”

แม่ของ “จันทรเลขา” ตายจาก “กาโล” จึงเลี้ยงลูกสาวมาโดยลำพัง แต่ด้วยความยากจน จึงตัดสินใจเข้าเมืองหลวง หวังหางานทำ หาเงินส่งเสียลูกสาวให้ได้เรียนสูงๆ

ระหว่างทางช่วงที่โหนรถไฟเข้าเมือง ด้วยความหิว “กาโล” แอบขโมยกล้วยจากตู้ของผู้โดยสารรายหนึ่ง แต่ถูกจับได้ จึงถูกนำตัวขึ้นศาลและถูกศาลตัดสินให้จำคุกเป็นเวลา 3 เดือน

ระหว่างติดคุก “กาโล” ได้เจอกับเพื่อนที่ติดคุกด้วยกันคนหนึ่ง เขาเล่าชีวิตอันแสนรันทดให้ฟัง พร้อมกับแนะนำว่า หากจะให้ก้าวพ้นกับความยากจน ต้องเปลี่ยน “วรรณะ” ยกระดับเป็น “พราหมณ์” พร้อมแนะเคล็ดลับการเปลี่ยนวรรณะ

ครั้น “กาโล” ครบกำหนด ออกจากคุก เขามุ่งหน้าเข้าสู่เมืองหลวงเพื่อหางานทำ แต่ไม่มีอาชีพใดรับเข้าทำงาน นอกจากได้เป็นผู้ดูแลซ่องนางโลมที่ต่ำต้อยแห่งหนึ่ง

แต่เขาดีใจมากเพราะได้พบกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน คือได้พบกับ “จันทรเลขา” ลูกสาวซึ่งถูกหลอกมาขายซ่องที่ตัวเองทำงานอยู่ “กาโล” ได้หาวิธีช่วยลูกสาวจนพ้นจากแดนนรก

 

“สถานการณ์” บีบบังคับให้ “กาโล” คิดหาหนทางที่จะทำให้ลูกสาวมีความสุข จึงได้ตัดสินใจทำตามคำแนะนำของเพื่อนในคุก ด้วยวิธีการเล่นกลให้พระศิวะโผล่ขึ้นมาจากดินได้ ชาวบ้านชาวเมืองพากันเลื่อมใสศรัทธา และพากันเชื่อว่าเขาเป็นคนชั้นวรรณะพราหมณ์ เป็นเจ้าแห่งเทวะดูแลวิหารที่จัดสร้างขึ้นใหม่ ณ ที่ที่พระศิวะโผล่ขึ้นมาจากผืนดินแห่งนั้น

การปกปิดวรรณะที่แท้จริง สร้างความลำบากใจให้กับ “กาโล” มาก จะบอกวรรณะที่แท้จริงให้สังคมรู้ดีหรือไม่ว่าคือวรรณะศูทร เพราะเกรงว่า บอกไป ความจริงปรากฏ ความสุขของเขาและลูกสาวจะหมดไป

กระทั่งอยู่มาวันหนึ่งมีเศรษฐีเป็นผู้มีอิทธิพลในเทวาลัยมาก เขามีเมีย 4 คน อยากได้ “จันทรเลขา” ไปเป็นเมียอีกคน จึงส่งพ่อสื่อมาสู่ขอกับ “กาโล” พร้อมยื่นเงื่อนไขว่า จะยกทรัพย์สมบัติให้จันทรเลขาสบายไปทั้งชาติ

เรื่องรู้ไปถึงหู “นาง” เธอไม่ชอบเศรษฐีเลย จึงบอกปฏิเสธกับผู้เป็นพ่อไป แต่ “กาโล” เลือกทางเดินเพื่อชื่อเสียง ความสุข เงินทอง และความนับหน้าถือตาของสังคม ด้วยความรักพ่อ “จันทรเลขา” จึงยอมแต่งงานกับเศรษฐีคนดังกล่าวไป

ในพิธีแต่งงาน ณ เทวาลัย มีคนมาร่วมงานคับคั่ง “กาโล” ต้องขึ้นกล่าวปาฐกถา ด้วยความรู้สึกละอายต่อบาป ประกอบกับมีความเห็นใจ เข้าใจหัวอกลูกสาว “กาโล” จึงตัดสินใจเปิดเผยวรรณะที่แท้จริงให้กับผู้ร่วมงานฟัง พร้อมกับประกาศว่าตนไม่เหมาะสมที่จะมายืนกล่าวปาฐกถาบนเวทีนี้

ผู้คนที่มาร่วมงานต่างโห่ฮา ปาก้อนหินเข้าใส่ “กาโล” ด้วยความโกรธที่เขาปกปิดวรรณะ หลอกให้กราบไหว้มานาน

ขณะที่เหตุการณ์กำลังวิกฤต ปรากฏว่ามีเสียงไชโยโห่ร้องและเสียงปรบมือดังกึกก้องจากคนอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งพากันยกย่อง “กาโล” เป็นวีรบุรุษ ที่ทำให้คนวรรณะสูงกว่ามากราบไหว้คนในวรรณะศูทร ซึ่งเป็นวรรณะที่ต่ำกว่า

เขาตัดสินใจเลือกเส้นทางที่ทางหนึ่งคือความเป็นจริงของชีวิต ซึ่งหากเลือกที่จะเดินไป ก็จะพบแต่ความทุกข์เข็ญของตนและลูกสาวอันเป็นที่รัก

“กาโล” สบายอกสบายใจที่ยอมบอกฐานะที่แท้จริงของตนให้กับคนรอบข้างทราบ ยอมทิ้งความสุข และได้รับการยอมรับจากสังคม หันกลับไปสู่ความจริงของชีวิตในการนำพาชีวิตเขาและลูกสาวเดินไปข้างหน้า

“กาโล” จึงก้าวลงจากหลังเสือได้อย่างสง่างาม และ “เสือไม่กัด”

 

“คนขี่หลังเสือ” ส่วนมาก ทำไม่ได้เหมือน “กาโล” ก้าวลงอย่างสง่างามยากมาก ขึ้นหลังเสือแล้ว หากลงมามักจะโดนเสือกัดกิน ทำให้จำต้องขี่ต่อไปโดยไม่อาจหยุดยั้งได้ แม้ไม่อยากขี่

เสือมันเป็นสัตว์ร้ายก็จริง แต่ขี่ได้ถ้าเลี้ยงให้เชื่อง แต่ถ้าทำให้เจ็บ มันมีความโกรธแค้น อาฆาต ลงจากหลังเมื่อไหร่ โดนขย้ำหัวจมเขี้ยวเมื่อนั้น

“คนขี่เสือ” ที่ชื่อ “ประยุทธ์” แกคงอยากลงจากหลังเสือเต็มประดาแด แต่จะลงท่าไหน อย่างไรไม่ให้ “เสือกัด” เหมือน “กาโล”