ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 6 - 12 มีนาคม 2563 |
---|---|
ผู้เขียน | นพมาส แววหงส์ |
เผยแพร่ |
ภาพยนตร์/นพมาส แววหงส์
JOJO RABBIT
‘ฮิตเลอร์เพื่อนรัก’
กำกับการแสดง Taiki Waititi
นำแสดง Roman Griffin Davis Thomasin McKenzie Scarlett Johansson Taiki Waititi Sam Rockwell Rebel Wilson
Jojo Rabbit เป็นหนึ่งในเก้าเรื่องที่เข้าชิงภาพยนตร์ยอดเยี่ยมของออสการ์ปีนี้ และได้รับรางวัลสาขาบทดัดแปลง โดยมีที่มาจากนวนิยายชื่อ Caging Skies โดย Christine Leunens
เป็นผลงานจากฝีมือของไทกา ไวตีติ ล้วนๆ โดยทั้งเขียนบท แสดง กำกับฯ และอำนวยการสร้างอยู่ในตัวคนเดียว
ไทกา ไวตีติ มีผลงานกำกับฯ ที่เรารู้จักกันคือ หนังซูเปอร์ฮีโร่ฟอร์มใหญ่ของค่ายมาร์เวล Thor : Ragnarok (2017) และ Thor : Love and Thunder (กำหนดฉายปีหน้า)
Jojo Rabbit เป็นหนังที่ผู้กำกับฯ ชาวนิวซีแลนด์ เลือดคนพื้นเมืองเมารีคนนี้ทำเพื่อให้คนรุ่นใหม่ได้รับรู้ความโหดร้ายของนาซีเยอรมันภายใต้ฮิตเลอร์ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง
โดยมองจากมุมมองของเด็กชายวัยสิบขวบที่มีเลือดชาตินิยมพล่านอยู่ในตัวจากการปลูกฝังให้เชื่อผู้นำมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย
โจโจ้ (โรมัน กริฟฟิน เดวิส) เป็นเด็กชายที่ขาดพ่อและอยู่กับแม่ในเยอรมนีในช่วงวันเวลาสุดท้ายของอาณาจักรไรช์ที่สามภายใต้การนำของฮิตเลอร์
เขาจึงมีท่านผู้นำหรือฟิวเรอร์เป็นเพื่อนในจินตนาการ ขณะที่แม่ (สการ์เล็ต โจฮันสัน) ร่วมอยู่ในขบวนการใต้ดินต่อต้านพวกนาซีอย่างลับๆ
ฮิตเลอร์ปลูกฝังให้เยาวชนเกลียดชังชาวยิว มองคนยิวเป็นสัตว์ประหลาดที่ไม่ใช่มนุษย์ ขณะที่พวกตนเป็นเผ่าพันธุ์อารยันที่สูงส่งกว่า
นั่นคือที่มาของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ที่เรียกกันว่า Holocaust
หนังเริ่มที่การไปเข้าแคมป์นาซีของโจโจ้
ครูผู้สอนคือ ร้อยเอกเคลนเซนดอร์ฟ (แซม ร็อกเวลล์) นายทหารผู้เสียนัยน์ตาไปข้างหนึ่ง จึงถูกปลดจากสนามรบมาเป็นผู้นำสอนเยาวชนในค่าย
ส่วนครูผู้หญิงตัวอ้วนใหญ่ (เรเบล วิลสัน) คอยปลูกฝังค่านิยมให้เด็กผู้หญิงผลิตแต่เด็กที่มีเชื้อสายอารยันเท่านั้น
โจโจ้ได้รับการเรียกขานว่า “โจโจ้ แรบบิต” เนื่องจากผู้นำในชั้นเรียนสั่งให้เขาแสดงความแกร่งกล้าด้วยการหักคอกระต่ายตัวน้อยในมือ แต่โจโจ้ก็ปล่อยกระต่ายและไล่ให้วิ่งหนีจากชะตากรรมสุดสยองนั้นไป
เขาจึงโดนล้อเลียนในฐานคนใจเสาะ ใจอ่อนและขี้ขลาด
โจโจ้ถูกปลูกฝังให้มีเลือดชาตินิยมแบบไม่ลืมหูลืมตา แต่ความเงอะงะไม่ถนัดในการใช้อาวุธทำให้เกิดอุบัติเหตุซึ่งทำให้เขาต้องเข้ารับการรักษาตัวด้วยแผลเหวอะหวะและการเดินกะเผลก
โจโจ้กลับไปอยู่บ้านและได้พบความลับสุดอันตรายในบ้านของเขาเอง
วันหนึ่งเขาเจอเด็กสาววัยรุ่น เอลซ่า (โทมาซีน แม็กเคนซี) ซ่อนตัวอยู่ในผนังห้องชั้นบน และเธอบอกว่าแม่ของเขาเป็นคนช่วยเหลือและซ่อนตัวเธอไว้จากชะตากรรมหฤโหดในเงื้อมมือของพวกนาซี
จากความเดียดฉันท์ที่ถูกปลูกฝังว่าคนยิวไม่ใช่คนเหมือนพวกเขา โจโจ้ค่อยๆ เรียนรู้ทีละเล็กทีละน้อยว่า เอลซ่าก็มีความเป็นมนุษย์เช่นเดียวกับพรรคพวกของเขา
อย่างที่บอกแล้วว่าหนังมองจากมุมมองของเด็กชายที่มีเพื่อนเล่นในจินตนาการคือฮิตเลอร์ (ไทกา ไวตีติ) ความโหดเหี้ยมต่างๆ นานาซึ่งถูกซ่อนไว้เบื้องหลังทัศนะบริสุทธิ์ของเด็กน้อย
มีฉากที่ชวนตระหนก แต่เราก็ไม่ได้เห็นอย่างจะแจ้งเต็มตา ผิดกับฉากการหักคอกระต่ายอย่างน่าสยดสยองในตอนต้นเรื่องที่ปลิดชีพผู้อ่อนแอที่ไม่มีหนทางต่อสู้อย่างไร้ปรานี
หนังนำเสนอในลักษณะของคอเมดี้ แต่เป็นตลกร้าย หรือ black comedy ในทำนองเดียวกับ Life is Beautiful (1997) ของโรเบอร์โต เบนินญี ซึ่งเป็นเรื่องของพ่อชาวยิวที่แอบลูกชายตัวน้อยไว้ใกล้ตัวในค่ายกักกันของนาซี และพยายามอย่างสุดโต่งให้ลูกชายเชื่อว่าไม่มีอันตรายใดมาแผ้วพาน และชีวิตในค่ายกักกันเป็นเพียงการเล่นสมมุติกันสนุกๆ เพื่อชิงชัยในรางวัลสูงสุดกันเท่านั้น
Life is Beautiful มีท้องเรื่องอยู่ในค่ายกักกันและทำจากมุมมองของคนยิวที่ใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก ส่วน Jojo Rabbit ทำจากมุมมองของเด็กชายชาวเยอรมันผู้ถูกครอบงำด้วยลัทธิชาตินิยมแบบไม่ลืมหูลืมตา และตาสว่างขึ้นด้วยประสบการณ์ส่วนตัวที่เจอะเจอคนยิวที่ไม่ใช่สัตว์ประหลาด และเป็นมนุษย์ที่มีเลือดเนื้อเช่นเดียวกัน
ตลกร้ายเรื่องนี้มีฉากตลกที่จี้เส้นสุดๆ แบบที่ยังไงๆ ก็อดหัวเราะไม่ได้ โดยเฉพาะในตอนที่พวกเกสตาโปเข้ามาในบ้าน และมีการทักทายแสดงความเคารพกันด้วยวลีว่า “ไฮล์ ฮิตเลอร์” แบบไม่จบไม่สิ้น…ฮากลิ้งจริงๆ
แต่ที่ยังรู้สึกแปลกแปร่งกับโทนตลกโปกฮาของหนัง คือความรู้สึกที่ยังทำใจไม่ได้กับการมองเรื่องหนักหนาสาหัสเกี่ยวกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เป็นเรื่องเบาๆ น่าขันที่นำมาหัวเราะและล้อเลียนกันสนุกๆ โดยใช้อารมณ์ขันมาทำให้ลืมความโหดร้ายที่สุดครั้งหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์มนุษยชาติ
ที่สำคัญคือตอนจบของหนัง หลังจากเรื่องราวความเลวร้ายและความตายทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้น แต่ก็ยังดูเหมือนจะยังลอยๆ อยู่กลางอากาศอย่างไร้ทิศทาง เหมือนไม่รู้จะพาเราไปทางไหนกันแน่
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นหนังดีที่น่าดูนะคะ
แต่ดูแล้วต้องขอเวลาทิ้งระยะห่างสักพักถึงจะทำใจให้ยอมรับได้
ที่ต้องชมคือแอ๊กติ้งของนักแสดงหน้าใหม่อย่างโรมัน กริฟฟิน เดวิส และหน้าเก่าอย่างสการ์เลต โจฮันสัน แซม ร็อกเวลล์ เรเบล วิลสัน รวมทั้งไทกา ไวตีตี ผู้รับไปเต็มๆ ทั้งคำชมและคำวิจารณ์