ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 6 - 12 มีนาคม 2563 |
---|---|
ผู้เขียน | เสถียร จันทิมาธร |
เผยแพร่ |
วิถีแห่งกลยุทธ์ เหมยฉางซู/เสถียร จันทิมาธร
กลยุทธ์ ถอยเพื่อรุก เย่วกุ้ยเฟย (35)
เมื่อประสบกับกลยุทธ์สวนกลับอย่างไม่คำนึงถึงสภาพความเป็นจริง ประสานเข้ากับการทะลวงไปยังจุดอ่อน จุดแห่งความหวาดระแวงการชิงดีชิงเด่นระหว่าง 2 ตำหนัก 2 แม่ลูก
หนีหวงจวิ้นจู่โมโหจน 2 มือสั่นระริก
ข้าศึกเป็นหมื่นเป็นแสนในสนามรบยังไม่ทำให้หนาวสะท้านใจเท่ากับเย่วกุ้ยเฟยนางนี้ ขณะโทสะที่บันดาลจะปะทุออก สุ้มเสียงทุ้มต่ำหนักแน่นเสียงหนึ่งพลันดังขึ้น
เป็นเสียงจากเซียวจิ่งเหยียน
“เสด็จพ่อ ลูกสามารถเป็นพยานได้ ขณะที่ลูกเข้าไปถึงลานสวนตำหนักเจาเหริน ซือหม่าเหลยอยู่ข้างกายจวิ้นจู่เป็นความจริง ทั้งมีพฤติกรรมส่อแววไม่ซื่อตรง ลูกเห็นสถานการณ์คับขันได้แต่กระทำเสียมารยาทพาตัวจวิ้นจู่ออกไป
เพื่อยับยั้งกระหม่อม กุ้ยเฟยกับรัชทายาทถึงกับออกคำสั่งให้กลุ่มทหารองครักษ์ปล่อยธนูพร้อมกัน
ลูกจึงได้แต่ใช้รัชทายาทเป็นตัวประกันด้วยความจำใจเพื่อรักษาชีวิต ถ่วงเวลาจนกระทั่งไท่หวงไท่โฮ่วเสด็จมาถึง ลูกตระหนักดีว่าใช้ดาบข่มขู่รัชทายาทเป็นความผิดมหันต์ แต่ก็ไม่อยากเก็บงำความผิดตัวเองเพื่อปิดบังความจริง
ขอเสด็จพ่อโปรดพิจารณาถ้วนถี่ หากมิใช่เพราะเดือดแค้นที่แผนการพังพินาศ รัชทายาทไยต้องสั่งยิงธนูฆ่าปิดปากเล่า”
ใครที่เกาะติดกับสถานการณ์และอยู่ในตำหนักเจาเหรินย่อมรู้ความพยายามของเย่วกุ้ยเฟยในการต่อรองโดย 1 ตัดซือหม่าเหลยออกไป 1 กำชับเซียวจิ่งเหยียนมิให้เอ่ยถึงการสั่งปล่อยธนู เพื่อต่อรองมิให้เอาผิดที่มีการเอาดาบขวางคอรัชทายาท
เย่วกุ้ยเฟยคาดคิดไม่ถึงว่าเซียวจิ่งเหยียนจะอาจหาญถึงเพียงนี้ ในใจพลันร้อนรุ่ม สีหน้าขาวเผือดปานหิมะ
“ในเมื่อหวงโฮ่ว จวิ้นจู่และจิ้งหวังต่างประณามว่าหม่อมฉันมีความผิด หม่อมฉันก็ไม่ขอแก้ตัวอีกและไม่กล้าเรียกร้องหลักฐานอะไร เพียงขอให้ฝ่าบาททรงวินิจฉัยแยกแยะ หากพระองค์ทรงคิดว่าหม่อมฉันมีความผิดจริง พวกเรา 2 แม่ลูกยินดีรับโทษทัณฑ์โดยมิกล้าตัดพ้อ”
เท่ากับใช้กลยุทธ์ “ถอยเพื่อรุก” เป็นการรุกเข้าไปในอุปนิสัยหวาดระแวงอย่างสุดขั้วของจักรพรรดิ
ท่ามกลางหน้าสิ่วหน้าขวาน ท่ามกลางการลังเลไม่แน่ใจของจักรพรรดินั้นเอง พลันปรากฏเสียงขันทีดังขึ้นที่ด้านนอกตำหนัก
“ทูลฝ่าบาท สมุหราชองครักษ์เหมิงจื้อขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อขันทีออกไปเพื่อบอกให้เหมิงจื้อรอก่อน เพียงชั่วอึดใจขันทีคนเดียวกันนั้นก็หวนกลับมาใหม่และกราบทูล “ท่านเหมิงมีคำพูดฝากให้กระหม่อมกราบทูลว่า ได้จับกุมตัวซือหม่าเหลย โทษฐานรุกล้ำเขตตำหนักเจาเหริน ขอให้พระองค์มีรับสั่งว่าจะจัดการเช่นไร”
เป็นเรื่อง
พลันเหมิงจื้อยืนยันการจับตัวซือหม่าเหลย บรรยากาศในโถงตำหนักก็อยู่ในอาการตื่นตะลึง ทว่าหลังตื่นตะลึงสีหน้าแต่ละคนกลับผิดแผก แตกต่าง
ใบหน้าเย่วกุ้ยเฟยเครียดขึ้ง สีหน้ารัชทายาทมืดดำดั่งดินโคลน
จิ้งหวังและจวิ้นจู่คล้ายกำลังครุ่นคิด
หวงโฮ่วและอวี้หวังลอบผุดแววยินดี
ส่วนจักรพรรดิเหลียงซึ่งเป็นประธานสูงสุด สีพระพักตร์ครึ้มฟ้าครึ้มฝน เหมือนกำลังสับสนพระทัยอย่างยิ่ง
“เย่วกุ้ยเฟย เจ้ายังมีคำพูดใดจะกล่าวอีก”
พระสุรเสียงที่เปล่งออกมาเฉื่อยเนือยระคนเหนื่อยหน่าย ผิดกับก่อนหน้านี้ที่ดุดันขึงขัง แต่ในความเฉื่อยเนือยระคนเหนื่อยหน่ายกลับสร้างความรู้สึกสั่นสะท้านให้แก่ผู้คนยิ่งกว่า
เครื่องประทิ่นโฉมอันงามพริ้งบนใบหน้าเย่วกุ้ยเฟยไม่อาจกลบเกลื่อนผิวหน้าซีดเผือด
คำฟ้องร้องกล่าวโทษจากหนีหวงจวิ้นจู่อาจนำเอาความเมามายจนขาดสติมาเป็นเครื่องกลบเกลื่อนไปได้เฉพาะหน้าระยะหนึ่ง
แต่พลันที่เซียวจิ่งเหยียนออกมายืนยัน
แต่พลันที่เหมิงจื้อนำเอาตัวซือหม่าเหลยมาในฐานะรุกล้ำเขตตำหนักเจาเหริน น้ำหนักคำพูดของหนีหวงจวิ้นจู่ยิ่งน่าเชื่อถือ
สำทับด้วยปฏิบัติการลับเหนือความคาดหมายของสมุหราชองครักษ์เหมิงจื้อ
เซียวจิ่งเหยียนถือว่าเป็นหมากตัวหนึ่งซึ่งสำคัญอย่างยิ่งแล้ว องค์หญิงจิงหนิ่งถือว่าเป็นหมากตัวหนึ่งซึ่งสำคัญอย่างยิ่งแล้ว
หากเหมิงจื่อคือหมัดเด็ดที่แม้กระทั่งเซียวจิ่งเหยียน หนีหวงจวิ้นจู่ก็ไม่คาดคิด
อย่าได้แปลกใจหากจะได้เห็นภาพเย่วกุ้ยเฟยพลันถลาพรวดคุกเข่าลง ณ เบื้องหน้าพระเก้าอี้ กอดพระบาทของจักรพรรดิเหลียงแนบแน่น
ละล่ำละลักเสียงสั่น “ปรักปรำเพคะ
หม่อมฉันมิได้ถูกปรักปรำ แต่รัชทายาทถูกปรักปรำเพคะ เรื่องทั้งหมดนี้ล้วนเป็นแผนการของหม่อมฉันคนเดียว รัชทายาทไม่รู้เรื่องด้วย เขาเพียงแต่ทำตามคำสั่งพระมารดาเท่านั้น ฝ่าบาททรงทราบดี
เซวียนเอ๋อร์เป็นเด็กกตัญญูเชื่อฟัง ไม่เพียงต่อหม่อมฉัน ต่อฝ่าบาทก็เช่นกัน”