ทวีปที่สาบสูญ : ล้อเล่นน่ะ ปลาทูทอด โดย การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์

ตัวเมืองเชียงใหม่ในเวลากลางคืนช่างสว่างไสวเหลือเกิน ฉันเคยมาแถบแถวนี้ไหม…ไม่แน่ใจเลย อาจจะเคยมา แต่ไม่ใช่ในเวลาแบบนี้

ทันที่ลงจากรถสี่ล้อแดง หากไม่มีมือใหญ่จับมือฉันเอาไว้ คงอดนึกหวั่นกลัวไม่ได้ แสงสีที่แยงตา ไฟจากป้ายหน้าร้านต่างๆ ผู้คนล้นหลาม แผงขายของแน่นขนัด ฉันเกือบลืมไปว่าตัวเองก็เกิดในจังหวัดนี้

“ไน้บาซ่า” ได้ยินเสียงคนพูดกัน นั่นคือที่ที่คนตัวสูงบอกให้รถแดงมุ่งมา

พี่โฟจะเคยมาไหม ต้องเคยสินะ อัมพรล่ะ…ชื่อที่น่าชังผ่านวูบเข้ามาในความคิดอีกจนได้

ฉันไม่ควรจะคิดถึงมันอีก อีนังคนนั้น – กูต้องลืมมึงให้ได้ – ความคิดแล่นเร็วอยู่ในหัว และอย่างเผลอไผล จิกเล็บลงในอุ้งมือ

“โอ้ย!”

พี่นลเหลียวมาทันควัน

“หยิกพี่ทำไม”

เกือบตกใจ เจื่อนอายทันทีที่รู้ตัว

“ขะ…ขอโทษค่ะ”

“เป็นอะไร ยังง่วงอยู่หรือ” น้ำเสียงอาทร

หูฉันร้อนขึ้น

“หิวหรือเปล่า เดินทั้งวัน เมื่อยละสิ”

เมื่อเราลงดอยมาได้แล้ว คนตัวสูงก็ออกความคิดว่า ควรจะหาทางหลบอีพี่สร้อยสายกันก่อน ซึ่งถ้าจะนั่งรถต่อไปในตัวเมือง โอกาสจะเจอกันก็มี เชียงใหม่แคบนิดเดียว ว่าอย่างนั้น

ฉันแปลกใจว่ารู้ได้อย่างไร ไหนว่าไม่เคยมา

คนเคยแปลกหน้าหัวเราะ บอกว่า ไม่เคยมาก็ดูจากแผนที่ได้

คนฉลาดๆ เขาใช้ชีวิตกันอย่างนั้นสินะ หน้าฉันร้อนมาแล้วหนหนึ่ง เขาจึงทำเรื่องยากๆ ให้ง่ายได้ และเหมือนไม่มีอะไรต้องทุกข์ร้อน ไม่เหมือนคนที่มาจากบ้านป่าดงดอย – อย่างฉัน

เมื่อลงถึงพื้นล่าง คนแปลกหน้าจึงพาฉันเข้าสวนสัตว์ที่อยู่อีกไม่ไกล เพื่ออยู่ในนั้นนานจนถึงย่ำเย็น ย่อมเป็นที่ที่อีพี่สร้อยสายไม่มีวันนึกถึง

ฉันเคยมาสวนสัตว์แล้วหนหนึ่ง เมื่อปีที่ครูพามาเที่ยววันเด็ก แต่ไม่ว่าจะครั้งนั้นหรือครั้งนี้ก็ไม่มีอะไรให้น่าจดจำ ยิ่งมองดูสัตว์ต่างๆ ในกรง มองวอก มองลิง มองนกที่โผบินอยู่ตามกิ่งไม้ประดิษฐ์ สิ่งเดียวที่แว่บมาในความคิดก็คือ

“ไปเชียงใหม่มารึ” ฉันเคยถามก่องแก้ว “ไปกับพี่กอบเหรอ”

“อือ ไปเที่ยวสวนสัตว์มาด้วย น้าโฟพาเที่ยวตั้งหลายที่ สวนบวกหาดก็ได้ไป”

“มึงอย่าน้อยใจไปอีพี่ คนอื่นได้ไปไหนช่างเขา ไว้กูมีเงินมีสิน จะพามึงไปเที่ยวสวนสัตว์เอง…”

เสียงอ้ายหมารอย

ซึ่งพูดซ้ำอีกว่า

“มึงกับกูก็เหมือนกันล่ะ อยากอยู่ก็ไม่ได้อยู่ อยากไปก็ไม่ได้ไป แต่เชื่อกูเหอะ วันไหนได้ดิบได้ดี อย่าว่าแต่ไอติมใส่ขนมปังห่าปัก จะแกงเผ็ดผัดไทยก็จะซื้อให้มึงกิน ถ้าไปเที่ยวสวนสัตว์มึงชอบตัวไหนกูจะบุบหัวให้”

แต่แล้ววันหนึ่งฉันก็ได้มาในที่ที่เคยอยากมา ทว่า ก็ไม่ได้มากับคนที่พูดกันไว้

ชีวิตไม่เคยกำหนดได้ อย่างนี้สินะที่เรียกว่าโชคชะตา

“ว่าไง หิวหรือเปล่า เดี๋ยวหาของกินกันนะ” คนตัวสูงก้มลงมาพูดด้วยอีก

ชั่วขณะ ฉันก็ยังนึกสงสัยอยู่ไม่วาย นี่ฉันอยู่ไหน ฉันอยู่กับใคร

ฉันกำลังจะไปไหน

 

ยังมีแสงสีอยู่รอบตัว ป้ายไฟมีตัวอักษรวิ่งเป็นภาษาอังกฤษอีก ซึ่งฉันก็อ่านไม่ออก เรานั่งลงบนเก้าอี้หัวกลมหน้ารถเข็นคันใหญ่ ฉันสวมเสื้อตัวใหม่แล้ว หลวมโคร่งหน่อยเพราะนุ่งทับตัวเก่าเข้าไป คนตัวสูงซื้อให้ ยังไม่พอ เลือกหมวกแก๊ปให้อีกใบ บอกว่าเท่านี้ก็ไม่มีใครจำฉันได้ง่ายๆ อีกแล้ว

มือแตะปีกหมวกอย่างไม่คุ้นชิน รู้สึกแปลกไปหมด เสื้อเนื้อหนามีตัวหนังสือยึกยือไม่รู้ว่าหมายถึงอะไร หมวกก็มีลายปักแปลกตา แม้พี่นลจะพูดว่า “สวยแล้ว” ฉันยังคงไม่แน่ใจ

ตัวพี่นลเองต่างหาก ยิ่งอยู่ในแสงไฟ ผิวที่พ้นเสื้อสีดำเหมือนยิ่งถูกขับให้ขาวผ่อง คิ้วดกหนา ตาสวย ถึงจะตัดผมสั้นมากก็ยังดูดี

แต่มองนานๆ ก็อดหรุบตาลงเองไม่ได้ ฉันกำลังจะไปมีชีวิตใหม่…จริงๆ หรือ กับคนนี้หรือ ที่ขันอาสาเข้ามาช่วย

“เอ้า ของน้อง” ก๋วยเตี๋ยวควันฉุยเลื่อนมาตรงหน้า “ต้มยำ แต่ไม่น่าจะเผ็ดเท่าไหร่”

“กินเผ็ดได้” ฉันอ้อมแอ้มตอบไป

แก้วน้ำเย็นเจี๊ยบส่งมาอีก

“กินน้ำหวานเสียหน่อยจะได้สดชื่น”

ทุกอย่างที่คนแปลกหน้าทำ ราวกับเราเป็นญาติพี่น้องกันมา…คนคนนี้ทำดีกับฉันเสียยิ่งกว่าพี่โฟเป็นไหนๆ

แต่จะวางใจได้จริงหรือ…จะเชื่อได้ไหม

ตลกน่าอีพี่ มึงจะมาถามอะไรตอนนี้ ในเมื่อมึงตามเขามาแล้ว

“เหม่ออีกแล้วนะ” เสียงทักขึ้น บอกให้รู้ว่าจับตาดูฉันอยู่ “ไม่ต้องกลัวแล้วล่ะ ถึงจะเจอกันตอนนี้ เขาก็ไม่มีสิทธิ์เอาตัวน้องไปอีกแล้ว”

 

ก๋วยเตี๋ยวมีรสชาติดีมาก น้ำซุปกลมกล่อม ใส่ถั่วดินคั่ว พริกป่น น้ำส้ม ท้องที่หิวโหยของฉันรับมันลงไป น้ำหวานสีแดงใส่น้ำแข็งนั่นด้วย เป็นมื้อแรกในรอบหลายวันที่ฉันรู้ว่าอะไรคือความอร่อย อะไรคือความอิ่มหนำ คนตัวสูงเองก้มหน้าก้มตากินเอาๆ…โธ่เอ๋ย คงจะหิวจัด เพราะตอนอยู่ในสวนสัตว์ต่างกินอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอัน

กินกันคนละสองชาม กระทั่งเหลือเพียงถ้วยว่างเปล่า อีกฝ่ายจึงได้เงยหน้าขึ้นมา

“โอย อิ่ม…น้องล่ะ เอาอีกไหม”

“ไม่ล่ะค่ะ พอแล้ว” ฉันเรียนรู้จะมีคำลงท้ายในทุกประโยค

จะชั่วดีถี่ห่าง ฉันก็นับถือน้ำใจคนคนนี้ ในเวลานี้

มือล้วงเข้ากระเป๋ากางเกง

“เดี๋ยวฉันจ่ายเงินเอง”

“อะไร” คิ้วเข้มเลิกขึ้น “อย่าบอกนะว่าจะเลี้ยงพี่”

“ค่ะ” ฉันกลั้นใจสบตา “ฉันพอมีเงินอยู่บ้าง”

หัวเราะ…อีกฝ่ายหัวเราะฉัน ก่อนจะก้มดูดน้ำในแก้ว แล้วเงยขึ้นพูด

“เก็บเอาไว้เถอะ มีเท่าไหร่กันเชียว เดี๋ยวพี่จ่ายเอง”

“ฉัน…”

“ไม่ต้องเถียง” มือใหญ่ยื่นมาปิดปาก “พูดมากเดี๋ยวทิ้งไว้แถวนี้นะ”

 

มันคงเป็นเวลาที่ผ่านไปเพียงประเดี๋ยวเดียว แต่นานชั่วกัปกัลป์สำหรับฉัน กว่าที่คนพูดจะรู้ตัวและเหลียวมา

“อ้าว ทำไมไม่ลุกมาละคะ”

…คะ…เสียงที่ทอดมาฟังอ่อนโยนเหมือนก่อนหน้า ทว่า น้ำตาของฉันกลบตาเสียแล้ว

“…อ้าว” เสียงอุทานอีก “เป็นอะไร”

ฉันกำลังจะกลายเป็นหินก้อนหนึ่ง ความรู้สึกเป็นแบบนั้น ฉันขืนตัวเพื่อพยายามบังคับตัวเองจนสุดความสามารถ

แต่คนฉลาดก็ยังเป็นคนฉลาด เพียงนาทีต่อมา นัยน์ตาก็ฉายแววเข้าใจ

“โกรธพี่หรือ…พูดเล่นนะ ใครจะทิ้งน้องไว้เล่า”

ฉันรู้ดีว่าตัวเองไม่มีทางเลือกอะไรมากนัก แต่การถูกซ้ำเติมหลัดๆ ว่า…จะทิ้งฉันไปเมื่อไหร่ก็ได้

มันก็ไม่ต่างอะไรกับการที่อีตัวร้ายอย่างอัมพร…เคยทำกับฉัน

“คะเน” เสียงเรียกชื่ออย่างตั้งใจ “พี่ไม่ทิ้งน้องหรอก ขอโทษนะถ้าทำให้โกรธ”

ฉันไม่ได้โกรธ ฉันแค่เสียใจ

“นะ…ไปกันดีกว่า” ลดเสียงลง และมองไปรอบๆ “เดี๋ยวความแตกกันพอดี คนเขาจะคิดว่าพี่ต่างหาก ลักพาตัวน้องมา”

“จะกลับบ้าน” ฉันพูดออกไป

ตาสีน้ำตาลเข้มมองมา

“ที่ไหน…บ้านพ่อแม่นะหรือ”

ฉันพยักหน้า

“จะกลับก็ได้นี่ พี่ไปส่งได้ ต้องไปขึ้นรถกันตรงไหนล่ะ”

 

ฉันพยายามกลั้นทุกความรู้สึกลงไป มันทั้งน่าอับอายและแปลบปลาบอยู่ข้างในอีกตลอดเวลา ทำราวว่าตัวเองเก่ง และตัวเองจะทำอย่างที่พูดได้ง่ายๆ ความจริงแล้วฉันก็ยังคงไม่มีที่ไป ถ้าฉันอยู่บ้านได้ เราคงไม่ต้องมาพบกันตรงนี้

ลุกจากร้านก๋วยเตี๋ยว สลัดแขนให้พ้นมือที่ยื่นมาหา ทว่าก็ออกเดินตามหลังคนร่างสูงไป สองฟากทางเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย มีทั้งคนไทยและฝรั่งหัวแดง เซ็งแซ่คึกคักทั้งคนซื้อคนขาย ข้าวของมากมายแขวนเด่นสะดุดตา

ไนท์บาซาร์–ฉันเห็นป้ายสะกดคำแล้ว ฉันจะจดจำที่นี่ไว้อีกแห่งตลอดไป

“ระวัง” คนตัวสูงเสียงดัง เหลียวมาคว้าไหล่ฉันให้หลบรถเครื่องที่แล่นสวนมา

“มาเดินฝั่งนี้เลย”

มีเชือกที่มองไม่เห็นปรากฏขึ้นอีกเส้นหนึ่ง ซึ่งบัดนี้มันเลื้อยเข้าเกาะเกี่ยวผูกมัดฉันไว้ ไม่ว่าคนแปลกหน้าจะรู้ตัวหรือไม่ ฉันต้องจำนนอยู่เงียบๆ ในยามนั้น

ยามที่รู้ว่ามีแต่ต้องตามหล่อนไป และสิ่งที่หล่อนมอบให้

ค่อยๆ เช็ดน้ำตาให้ฉัน

“…ทำไมขี้แยแบบนี้หะ” แขนพาดมาโอบไหล่อีกครั้ง เมื่อผ่านช่วงคนเบียดเสียดออกมาได้แล้ว

ถนนเริ่มโล่งขึ้น จนรู้สึกได้ถึงสายลมพัดมา

“กระเป๋าพี่หนักหรือเปล่า” ฉันเอ่ยปากเป็นครั้งแรก

เป้สีดำใบใหญ่ยังแบกอยู่บนหลังตลอดเวลา ฉันรู้ว่ามีของที่หล่อนบรรจุมาให้ฉัน

เมื่อจะออกมาหล่อนเก็บกวาดมันกลับจนหมด และเอาสมบัติของฉันยัดเพิ่มเข้าไป

“โอ้ย หนักมาก” เสียงอุทาน และทำท่าคล้ายจะทรุดตัวลง

ก่อนจะหันมายิ้มกว้าง

“ล้อเล่น…รู้จักหรือยัง การล้อเล่นน่ะ ปลาทูทอด”

อะไรนะ…อะไรคือปลาทูทอด

“งงอีก” เสียงหัวเราะชอบใจ “ปลาทูทอดไง หน้าจะงอๆ คอหักพับลงแบบนี้”

พูดพลางทำมือทำไม้

“คล้ายๆ หน้าน้องตอนนี้เลย”

“บ้า!” ฉันอดหัวเราะไม่ได้ เกิดมาไม่เคยถูกใครเปรียบเทียบแบบนี้ ขนาดเคยอยู่โรงทำปลาทูมาแท้ๆ

“อร่อยดีออก พี่ชอบกิน ปลาทูทอดกับข้าวสวยร้อนๆ เดี๋ยวกลับถึงกรุงเทพฯ นะ จะหาให้ชิม”