เทศมองไทย : ปรากฏการณ์ “หน้ากากอนามัย”

ปรากฏการณ์ “หน้ากากอนามัย” ในเมืองไทยเรานั้น ดูออกจะดุเดือดแล้วก็หลากหลายกว่าที่ปรากฏให้เห็นในหลายต่อหลายประเทศมาก ที่เป็นเช่นนั้นอาจเป็นข้อจำกัดในการรับรู้เรื่องราวของผู้เขียนเองก็เป็นได้ แต่เท่าที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ มีเพียงแค่เกิดการ “ขาดแคลน” หรือมากไปกว่านั้นอีกเล็กน้อยก็คือ ปรากฏการณ์ “ขึ้นราคา” ซึ่งทั้งสองอย่างก็เกิดขึ้นในบ้านเราเหมือนกัน

แต่เมืองไทยนอกจากปรากฏการณ์ร่วมทั้งสองอย่างแล้ว ยังเกิดปรากฏการณ์ “หน้ากากใช้แล้ว” และ “หน้ากากไม่ได้มาตรฐาน” ขึ้นมาด้วยอีกต่างหาก

ที่รับรู้แล้วได้แต่ “อึ้ง” พูดไม่ออกบอกไม่ถูกก็คือ ข่าวว่าด้วยการ “ขายหน้ากากใช้แล้ว” ซึ่งไม่เคยได้ยินที่ไหนมาก่อนครับ

ผมไม่คิดว่าจะเกิดปรากฏการณ์นี้ขึ้นในเมืองไทย ไม่คิดว่าคนไทยเราจะซ้ำเติมกันเองได้มากถึงขนาดนี้ โดยหารู้ไม่ว่า ขณะที่คิดว่าตัวเองหลอกคนอื่นได้สำเร็จนั้น อันตรายถึงชีวิตอาจเกิดขึ้นได้กับผู้ลงมือและผู้ที่เกี่ยวข้องในกระบวนการนี้ได้ทุกเมื่อ

หน้ากากใช้แล้วกับหน้ากากไม่ได้มาตรฐานนั้นอันตรายพอๆ กัน และน่าเกลียดน่าชิงชังพอๆ กันครับ

 

ถ้ามองให้ลึกซึ้งลงไปอีกนิด เราจะพบว่า การขาดแคลนหน้ากากอนามัยและหน้ากากอนามัยราคาแพงนั้นเป็นปรากฏการณ์ร่วมที่เกิดขึ้นในหลายประเทศ โดยเฉพาะในประเทศที่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 กันมากๆ

ในจีนก็เกิดการขาดแคลน ในเกาหลีใต้ก็เช่นเดียวกัน ไม่เว้นแม้แต่ในสหรัฐอเมริกา

ปรากฏการณ์ร่วมอันนี้ ไม่เพียงเกิดขึ้นจากการแพร่ระบาดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังเกิดขึ้นเพราะความเข้าใจผิดเกี่ยวกับตัว “หน้ากากอนามัย” ที่ว่านี้อีกส่วนหนึ่งด้วยครับ

ไม่เช่นนั้น นายแพทย์เจอโรม อดัมส์ ซึ่งดำรงตำแหน่งเซอร์เจียน เจเนอรัล (Surgeon General) ของกระทรวงสุขภาพและบริการมนุษย์ ที่ทำหน้าที่คล้ายๆ กระทรวงสาธารณสุขของเราแต่ครอบคลุมกว้างขวางกว่า ต้องออกโรงมาประกาศปาวๆ ว่า หน้ากากอนามัย “ป้องกันโควิด-19 ไม่ได้” หรอกครับ

ดูจากสังกัดและภารกิจแล้ว ตำแหน่งของนายแพทย์ท่านนี้ในภาษาไทย น่าจะใกล้เคียงกับอธิบดีกรมการแพทย์ หรือไม่ก็เป็นเจ้ากรมการแพทย์ทหาร (เพราะควบคุมแพทย์ในเครื่องแบบทั้งหมดของสหรัฐอเมริกาอยู่ด้วย) เลยทีเดียว ไม่มีเหตุไม่มีผล คงไม่ออกมากระโตกกระตากอย่างนั้นกันง่ายๆ แน่

ผมไม่ได้เป็นคนแอนตี้การสวมหน้ากาก แต่ก็คิดอยู่เหมือนกันว่า จะตะเกียกตะกายไปซื้อหาหน้ากากอนามัยมาสวมทั้งทีก็ต้องเป็นเหตุเป็นผลกันหน่อย

ไม่ควรยึดถือการใส่หน้ากากอนามัยเป็น “แฟชั่น” หรือใส่หน้ากากอนามัยเพราะ “ความกลัว” โดยไม่มีเหตุมีผลนะครับ

 

หน้ากากอนามัยอย่างที่นิยมกันมากในไทย (และที่ถูกนำไปซักมาขาย) นั้น ภาษาอังกฤษเรียกว่า “เซอร์จิคัล มาส์ก” เพราะหน้าที่ “หลัก” ของมันใช้เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อโรคจากปาก จากจมูกของศัลยแพทย์ เล็ดลอดออกมาสู่บาดแผลของผู้ป่วยในขณะดำเนินกระบวนการผ่าตัด ซึ่งบางครั้งก็กินเวลานานเป็นชั่วโมงๆ ครับ

ชั้นนอกสุดของหน้ากากอนามัยชนิดนี้เคลือบสารป้องกันไม่ให้ของเหลวซึมผ่าน “ได้ง่าย” ไว้ด้วย ทำให้ในเวลาต่อมา แพทย์อื่นๆ ก็นิยมใช้ในสถานการณ์ชั่วคราวเพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองติดเชื้อจากสารคัดหลั่ง จำพวกน้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วย ในกรณีที่ต้องรับมือกับโรคซึ่งติดต่อกันได้ง่าย

แต่ถ้าในสถานการณ์ที่เป็นการป้องกันการระบาดแบบ “แอร์บอร์น” คือติดต่อทางอากาศได้ หน้ากากชนิดนี้ใช้ไม่ได้เลยครับ ต้องเป็นหน้ากากอีกอย่าง แล้วชุดป้องกันของแพทย์ก็ต้องป้องกันทั้งตัวแบบที่เราเห็นกันจนคุ้นในตอนนี้นั่นแหละ

นั่นหมายถึงว่า แพทย์ใช้หน้ากากอนามัยเพียงชั่วขณะ อย่างมากไม่กี่ชั่วโมง แล้วก็ถอดทิ้ง

 

ปัญหาคือ เรานำหน้ากากเดียวกันนี้มาใช้ใส่ทั้งวัน ด้วยความรู้สึกที่ว่ามันป้องกันโควิด-19 ได้ ผมเห็นกับตาว่าบางคนสวมอยู่ดีๆ ดึงเอาตรงกลางหน้ากากลงมาย้ายไปไว้ตรงลำคอ แล้วเอามือข้างเดียวกันนั้นคว้าของกินเข้าปาก

นั่นทำให้คนคนนั้นเสี่ยงต่อการติดเชื้อโควิด-19 มากกว่าคนที่ไม่สวมแล้วล้างมือบ่อยๆ ระวังไม่จับหน้าตา ไม่ใช้มือคว้าของกินเข้าปาก มากกว่าครึ่งต่อครึ่ง

เพราะกลางหน้ากากบริเวณผิวชั้นนอกนั้นคือที่ชุมนุมของสารคัดหลั่งที่สะสมอยู่ตลอดทั้งวันไงครับ

หลักการของการใช้หน้ากากอนามัย จึงใช้เฉพาะคนที่ป่วย อย่างเช่น เป็นหวัด ไอ จาม เพื่อป้องกันไม่ให้หวัดของเราแพร่ไปสู่คนอื่นๆ แล้วก็ควรเพียงใช้ชั่วคราวเมื่อต้องออกไปในที่ชุมชนครับ

คนที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง ที่มีอัตราการเสียชีวิตจากการติดเชื้อโควิด-19 ได้สูงกว่าปกติก็พอจะอนุโลมให้ใส่ได้ ภายใต้ข้อแม้ว่าต้องเข้าใจด้วยว่า การสวมหน้ากากอนามัยเพียงอย่างเดียว ป้องกันโควิด-19 ไม่ได้

คนที่สวมหน้ากาก ยังคงต้องระวังไม่จับใบหน้า ไม่ขยี้ตา ไม่แคะจมูก แล้วก็ล้างมือบ่อยๆ ครั้งหนึ่งไม่น้อยกว่า 20 วินาทีอยู่เหมือนเดิม

ไม่เช่นนั้น โควิด-19 ก็สามารถถึงตัวเราได้เช่นกัน

 

ส่วนคนที่ไม่เป็นอะไร ก็ควรงดเว้น ไม่ต้องไปซื้อหามาใส่ให้ลำบากลำบน แค่ระวังล้างมือ ไม่ข้องแวะใบหน้า จมูก ปาก ถ้าหากไม่แน่ใจว่ามือเราสะอาดพอ เท่านั้นก็พอ จะให้ได้ผลพอๆ กับคนใส่หน้ากากก็คือ หาทางอยู่ห่างจากคนไอ จาม สักเมตรครึ่งถึงสองเมตรครับ

เหตุผลที่สำคัญคือ เหลือหน้ากากอนามัยไว้ให้กับบรรดาคนในส่วนที่จำเป็น คือแพทย์ ผู้ป่วย แล้วก็คนในกลุ่มเสี่ยงอย่างที่ว่าจะดีกว่ามาก

แถมยังเป็นการช่วยให้ปรากฏการณ์น่าเกลียดอย่างหน้ากากใช้แล้วและหน้ากากอนามัยเทียม เลิกปรากฏให้เห็นอีกด้วยครับ