ไวรัสม็อบ

จนถึงวันนี้ฝั่งผู้มีอำนาจยังคงตื่นตระหนกกับ “แฟลชม็อบ” ของนักเรียน นิสิต นักศึกษา ตามสถาบันการศึกษาต่างๆ

ใครจะไปนึกว่า เพียงแค่ 7 วัน “ม็อบ” จะลามทุ่งไปทั่วประเทศ

ชนิดที่ “สนธิ ลิ้มทองกุล-ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ-สุเทพ เทือกสุบรรณ” ต้องเหลือบมองด้วยความอิจฉา

เพราะสมัยพันธมิตร-เสื้อแดง และ กปปส. กว่าจะปลุกให้คนลุกขึ้นได้ต้องใช้เวลายาวนาน

ใช้งบประมาณมหาศาลในการตั้งเวที

แต่ “แฟลชม็อบ” ครั้งนี้ น้องๆ นักเรียน นิสิต นักศึกษา ใช้แค่ “แฮชแท็ก” ผ่านทวิตเตอร์เพื่อระดมพล

เวทีก็เรียบง่าย เครื่องเสียงก็ธรรมดามาก

คนมาชุมนุมก็มีกระดาษคนละแผ่นเขียนข้อความแสดงความเห็น

และที่สำคัญ ไฟฉายบนมือถือของแต่ละคน

แค่เปิดไฟฉาย รัฐบาลก็สั่นไหวแล้ว

“ม็อบนักศึกษา” วันนี้ระบาดเร็วเหมือนกับ “ไวรัส”

มีคนบอกว่าไวรัสโควิด-19 ติดต่อทางลมหายใจ

“แฟลชม็อบ” ครั้งนี้ก็เช่นกัน

ติดต่อทางลมหายใจแห่งเสรีภาพ

เด็กๆ คงเก็บกดมานาน เพราะเห็นอยู่ว่าโลกแห่งความเป็นจริงไม่ตรงกับที่ร่ำเรียนมา

และมองไม่เห็นอนาคตของตัวเองภายใต้กฎกติกาการเมืองไทย

การยุบพรรคอนาคตใหม่เป็นเพียงแค่ฟางเส้นสุดท้าย

ยุบปั๊บ หลังหักเลย

ม็อบยุคนี้ไม่มี “ผู้นำ” ที่ชัดเจน

เป็นม็อบที่ไม่สามารถใช้วิธีเดิมๆ จัดการได้

ภาษาการสื่อสารก็ใหม่

ช่องทางการสื่อสารก็เกินกว่าเหล่า IO จะตามทัน

ไม่มีใครรู้ว่า “แฟลชม็อบ” นี้จะพัฒนาไปอย่างไร

แม้แต่แกนนำการชุมนุมในแต่ละมหาวิทยาลัยก็ไม่รู้

จากการชุมนุมแสดงความไม่พอใจรัฐบาลและกติกาทางการมือง

วันนี้นักเรียน นิสิต นักศึกษา เริ่มมีข้อเสนอที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

เรื่องสำคัญคือ การจัดตั้ง สสร.ขึ้นมาแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2560

เรื่องที่คิดว่าจะเป็นไปไม่ได้ เพราะต้องอาศัยเสียงวุฒิสมาชิกในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

วันนี้เริ่มเป็นไปได้

ถ้าม็อบนักศึกษาออกมาเยอะๆ เสียงวุฒิสมาชิกจะต้องเปลี่ยน

ไม่เช่นนั้น ประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะกลายเป็น “ระเบิดเวลา” ทางการเมือง

สถานการณ์การชุมนุมจะบานปลายหรือไม่

อยู่ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าจะเติมฟืนเข้ากองไฟ

หรือชักฟืนออกจากไฟ

เพราะวุฒิสมาชิก 250 คนที่เขาตั้งมากับมือจะหันซ้ายหรือขวา

อยู่ที่ “ลุงตู่” คนเดียว