การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ …สูงส่ง

“เธอ…”

อย่างรวดเร็ว เมื่อยินเสียงเรียกฉันก็รีบหันไป แต่ทว่า ขณะใจเต้นโครมครามขึ้นมา…ด้วยความอดคาดหวังไม่ได้ อยากรู้ว่าผมบ๊อบจะว่าอย่างไรถ้าได้อ่านบทกวีเหล่านั้น ทว่า…ใบหน้าที่ดูจางเจื่อนย้อนแสง กลับเห็นความแปลกในท่าที

แล้วในชั่วเสี้ยววินาที ฉันก็ตระหนักว่าตัวเองโง่เง่าสิ้นดี โง่อีกแล้ว

“…ของเธอหรือเปล่า”

มือนวลยื่นซองสีขาวให้ดู แน่นอน นั่นคือของฉัน

กระดาษในซองย่อมไม่ใช่ใดอื่น

พยักหน้ารับ อับอายจนหน้าชา พร้อมกับสำนึกร้อนรนขึ้นว่า อีกฝ่ายจะรู้สึกอย่างไร

“ฉันบอกเธอแล้วนะ ฉันอ่านตัวไทยไม่ได้”

ฉันกัดริมฝีปาก

“…อือ ขอโทษนะ ฉันลืมไป”

ความเสียใจหรือเปล่า ที่กระฉอกออกมาจากตาคู่นั้นอีก หรือเป็นความรู้สึกแบบใด จะเริ่มเกลียดฉันอีกครั้งไหม?

“ขอโทษจริงๆ นะนวล…ฉันไม่ทันคิด”

“ไม่เป็นไรหรอก” เด็กสาวยิ้มออกมานิดหนึ่ง แต่เป็นรอยยิ้มบาดใจเหลือที่ “ฉันชินแล้วล่ะ ช่างมันเถอะ”

“เดี๋ยว นวล”

ฉันคว้าข้อแขนนั้นไว้ และดึงซองจดหมายนั้นออกจากมือ

“มันเป็นบทกลอนน่ะ เอาอย่างนี้มั้ย ฉันจะอ่านให้เธอฟัง”

“มันจะดีเหรอ” เด็กสาวเสียงอ่อนลง “ฉันไม่รู้ว่า ฉันจะเข้าใจหรือเปล่า”

อีกครั้งที่ฉันนิ่งอึ้งไป ก่อนจะรวบรวมถ้อยคำพูดออกไปใหม่

“…ไม่เป็นไรหรอกนวล ฉันแค่อยากให้เธอได้ฟังน่ะ เอาอย่างนี้มั้ย ถ้าเธอฟังแล้วไม่เข้าใจ เธอบอกฉัน ฉันจะอธิบายเพิ่มให้ แต่ถ้า…ถ้าเธอไม่สนใจ ไม่อยากฟัง…” ฉันกลืนน้ำลายลง “ฉันจะหยุดอ่านทันที”

ผมบ๊อบมองเข้ามาในตาของฉัน

“ฉันแค่กลัวน่ะ ว่าจะหัวไม่ถึงพวกคำกลอนของเธอ”

ยากอธิบายได้ว่า อะไรคือสิ่งที่ทิ่มแทงในอกฉัน…บางที มันอาจเป็นบทเรียนครั้งสำคัญ ให้ฉันเองได้สำนึกถึงความบัดซบของชีวิตขณะนี้

ที่ใช้วิธีเขียน เพราะยากในการจะปริปากพูด

แต่ถึงที่สุด ไม่ว่าจะเขียนหรือพูด ก็ยังไม่รู้เลยว่า ใดจะบอกได้หมดใจ

ที่มากไปกว่านั้น ตัวฉันก็ทำเหมือนตัวเองสูงส่งกว่า กลายเป็นว่า บทกวีคือของที่สูงส่ง

 

“ฉันเขียนเป็นบทกลอน เพราะบางอย่าง…ไม่รู้จะพูดยังไง”

ฉันนั่งชันเข่า หลังพิงฝาสังกะสีผุๆ คนผมบ๊อบหย่อนตัวลงนั่งข้าง เราจะมีเวลาอีกสักครึ่งชั่วโมงได้ ก่อนที่ใครๆ จะพากันตื่นขึ้น แล้วเริ่มวันทำงาน

“ฉันจะอ่านให้เธอฟังก่อนนะ”

เด็กสาวพยักหน้า

“ฉันจะเขียนถึงเธอด้วยบทกวี น้ำหมึกนี้มาจากเลือดเนื้อที่เหลืออยู่ ไม่แน่ใจหรอกว่าเธอจะอยากรับรู้ แค่เพราะเธอคือผู้ที่ฉันเพิ่งค้นพบ”

เด็กสาวเบือนหน้ามาทันใด

“ฟังเข้าใจหรือเปล่า” ฉันเอ่ยปากออกไป

“เข้าใจ…ฉันเข้าใจ” เสียงตอบแผ่วเบา

ใจฉันฟูฟ่องขึ้น

“งั้นฟังต่อนะ”

 

“จริงนะ ชีวิตช่างเป็นของยากเหลือเกิน เหมือนถนนที่ต้องเดินไม่รู้จบ …บางวัน เมื่อตะวันชิงพลบ ฉันจึงเฝ้าทวนทบซ้ำซ้ำอยู่ในใจ เรามีชีวิตกันเพื่ออะไรหรือ แย่งยื้อเงินทองจนหมองไหม้ ป่ายปีนย่ำเหยียบเอาเปรียบกันไป ตกขลักอยู่ในแอ่งเน่าเหม็น…”

ผมบ๊อบเหลียวมาจ้องตาฉันอีกทันที

“…ตรงนี้เข้าใจมั้ย”

“เข้าใจสิ เธอเขียนดีจังเลย”

ฉันยิ้ม…รู้สึกอยากยิ้มเป็นครั้งแรก

“เราเกิดมาทำไม แม้แต่ต้องการตายยังยากเย็น เจ็บปวดร้อนหนาวร้าวเร้น แทบเป็นซากขยะหนอนแมลง”

รู้สึกได้ไออุ่นแผ่วๆ มาสัมผัส ผมบ๊อบเอนหัวลงพิงไหล่ฉัน

ฉันขยับตัวเล็กน้อย เพื่อให้ต่างนั่งสบายขึ้น

“ฉันอยากจะเขียนเรื่องที่สวยงาม แต่ก็เกินความสามารถจะเติมแต่ง วันนี้ที่อกใจไหม้แล้ง เพียงแค่อยากแสดงให้เธอฟัง…”

 

“อย่างนี้เหรอเรียกว่าคำกลอน”

เด็กสาวถามขึ้นเบาๆ

“เป็นคำคล้องจองกันหมดเลย”

ฉันยิ้มอีก…มันคงเป็นหนึ่งในจำนวนน้อยครั้ง ที่ต่อให้ฉันพยายามยั้ง มุมปากก็ยกขึ้นจนได้

“ดีใจที่เธอชอบ”

“ชอบ…อ่านอีกสิ…หรือว่าจบแล้ว”

“ยังไม่จบ”

“ฉันจะตั้งใจฟัง”

 

มีไออุ่นเกิดขึ้นจากจุดเล็กๆ และขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ในอกของฉัน เหมือนการมาถึงของแสงแดดในวันที่ฟ้าหลัวจนไม่อยากคาดหวัง…แต่แล้ว โดยไม่หวัง ประกายสีทองนั้นก็มา

ฉันกางแขนออกข้างหนึ่ง โอบร่างนั้นให้ชิดเข้ามา โดยปราศจากการขัดขืนใด นั่นทำให้ชั่วเวลานั้น เป็นนิรันดร์ในขณะหนึ่ง

“ฉันไม่รู้หรอกนะเนื้อนวล ว่าเราควรทำอย่างไรให้ตัวเองยังมีความหวัง ชีวิตแสนทุเรศทุรัง หลายครั้งเธอก็ย่อมรู้…การลืมตาขึ้นในแต่ละวัน เพื่อตระหนักว่าเรานั้นยังคงอยู่ ท่ามน้ำเลือดน้ำหนองที่พรั่งพรู โสตประสาทรับรู้แต่แสบร้อน…”

เด็กสาวขยับตัวอีกทันที

“…?” ฉันหยุดอ่าน หันไปหาทันทีเหมือนกัน

“เธอเข้าใจว่าจัง…อะไรนะ การลืมตาขึ้นแต่ละวัน…มันแสบร้อน”

“เธอก็เคยรู้สึกแบบนั้นใช่มั้ย”

“ใช่…เธอก็ด้วยเหรอ”

“อือ”

“ฉันไม่คิดเลย…แค”

“อะไร?”

“ฉันไม่รู้จะบอกเธอยังไง…คือไม่คิดว่าจะมีใครคิดเหมือนฉัน”

“ไม่ใช่แค่คิด…มันคือความรู้สึกด้วย”

เด็กสาวเป็นฝ่ายยกมือเข้ามาสอดไว้ในอุ้งมือฉัน ซึ่งเท่านั้นยิ่งมากพอจะทำให้ฉันอยากอ่านต่อไปและต่อไป

 

“เราจะผ่านมันไปอย่างไรกัน ตรงไหนนั่นให้เราพอเข้าซ่อน เหมือนถูกบั้งถูกบาดราดเกลือซ้อน และควักซ้ำย้ำย้อนสอนสำนึก ว่าเราเป็นแมลงแฝงพงหญ้า จงตระหนักในค่า อย่ารู้สึก…”

“มันใช่มากๆ”

“…ว่าเราเป็นแมลงแฝงพงหญ้า จงตระหนักในค่า อย่ารู้สึก จงจดจำในมีดที่กรีดลึก จงตกผลึกเรื่องคนเราไม่เท่ากัน…”

“แค เธอไปเอาคำแบบนี้มาจากไหน ไหนว่าไม่ได้เรียนหนังสือเหมือนกัน”

“ก็ไม่ได้เรียนหรอก” ฉันตอบ “แค่เขียนมันจากใจ”

“ฉันชอบ…ชอบมากๆ เลย”

“งั้นฟังต่ออีกมั้ย”

“ฟัง ฟัง”

 

“เราควรจะรู้สึกอย่างไรเล่า จะมีไหมสักเช้าแม้แสนสั้น ให้ได้เงยหน้าจ้องมองตะวัน รับเอารังสีสรรพ์สู่อกไสว…”

“เอ้อ…อกไสวคืออะไร”

“อืม…ตรงนี้เป็นการเล่นคำน่ะ หมายถึง การรับเอาแสงแดดเข้ามาไว้ในอกน่ะ”

“เหรอ…ตรงนี้ยาก แต่ก็เข้าใจแล้ว”

ผมบ๊อบหลับตา ทำท่านิ่งอยู่ครู่หนึ่ง

“จริงด้วย ถ้าแสงแดดเข้ามาถึงในอกเราได้…”

ฉันสูดลมหายใจลึก

“…ให้ได้เงยหน้าจ้องมองตะวัน รับเอารังสีสรรพ์สู่อกไสว…หากประกายสีทองเป็นของเราบ้าง เหยาะหยดแสงแตกต่างส่องทางใหม่ ละลายสีดำมืดจนจืดไป ล่องสีขาวมาให้สักเล็กน้อย…ถ้าเรามีสีทองของอาทิตย์ มาแตะแต้มชีวิตสักนิดหน่อย มีเส้นทางไปต่อให้รอคอย สามารถสอยดาวเดือนเหมือนใครใคร…”

ผมบ๊อบยังหลับตาอยู่

“หากประกายสีทองเป็นของเรา พาลุกตื่นสักเช้า…เป็นเช้าใหม่ ละลายสีดำมืดจนจืดไป คงหัวใจต่ำต้อยเจ็บน้อยลง”

แต่ฉับพลันทันใด เมื่อตากวาดไปถึงบรรทัดต่อไป ฉันก็ชะงักเสียเอง

ตัวหนังสือยังเรียงแถวอยู่เต็มหน้า หากว่า…คือบทที่เริ่มไม่แน่ใจ

ควรอ่านมันต่อไหม และ…ในบทวรรคตอนต่อจากนี้ คนที่กำลังนั่งหลับตา ร่วมสมมุติไปกับฉันว่า ถ้าเรามีแสงแดดเข้ามาในอก…

หล่อนจะรู้สึกต่ออย่างไร

“อ้าว ทำไมไม่อ่านอีกล่ะ หรือว่าจบแล้ว”

ตาสีน้ำตาลอ่อนเหมือนเมล็ดพืชสักหน่วยหนึ่ง มีแววใสกลมกลิ้งภายใน กำลังเงยขึ้นอย่างตั้งใจจะฟังคำตอบจากฉัน

“เพื่อนที่รักของฉัน นี่ก็อาจเป็นความฝันที่สูงส่ง…”

ฉันตวัดมือลง พับกระดาษอย่างรวดเร็ว และสอดเข้าไว้ในซองเดิมเสีย ขยับตัว

“ไว้ค่อยฟังต่อนะ คงจะต้องไปทำงานกันแล้วล่ะ”

“อ้าว อะไรกัน”

ฉันรั้งแขนตัวเองกลับมา ปล่อยไหล่และร่างข้างๆ เป็นอิสระ นี่อย่างไรเล่า บางครั้ง บางถ้อยคำจากอกเรา ก็เป็นเหมือนแมลงในอกเรา ซึ่งใช่ว่าเราควรจะปล่อยมันคืบคลานออกไป…ตราบที่ไม่แน่ใจว่ามันจะกัดกินเขา หรือจะกัดกินเรา หรือจะทำให้เรา…สูญเสียอีกครั้ง

จึงวรรคตอนต่อมา ดังแต่เพียงในหัวตัวฉัน ก่อนพากันเข้าสู่ชั่วโมงงานเบื้องหน้า

[เพื่อนที่รักของฉัน นี่ก็อาจเป็นฝันอันสูงส่ง…สักวัน…ปลายเชือกจะเกลือกลง พาเราสู่อัสดงนิรันดร์กาล…]