ยานยนต์ สุดสัปดาห์ / สันติ จิรพรพนิต/’เอ็มจี เอชเอส’ ดีเกินคาด ‘เอสยูวี’ ขับสบาย-คุ้มเกินค่าตัว

สันติ จิรพรพนิต

ยานยนต์ สุดสัปดาห์/สันติ จิรพรพนิต [email protected]

‘เอ็มจี เอชเอส’ ดีเกินคาด

‘เอสยูวี’ ขับสบาย-คุ้มเกินค่าตัว

 

ได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างมาพอสมควรกับ “เอ็มจี เอชเอส” (MG HS) เอสยูวีขนาดกลาง ที่หลังเปิดตัวมีเพื่อนในวงการทดสอบรถยนต์จำนวนมากชื่นชมถึงสมรรถนะและความคุ้มค่า เมื่อเทียบกับราคาที่ตั้งมา

เรียกว่าราคาต่ำที่สุดในเซ็กเมนต์แล้วกระมัง

แต่ออปชั่นที่ใส่มานั้น หากดูจากสเป๊กแล้วเรียกว่าไม่เป็นสองรองใครในตลาดเลย

กระทั่งเมื่อโอกาสอำนวย ผมไม่พลาดที่จะหยิบยืมมาทดสอบเสียหน่อย

ได้รุ่นท็อปสีบรอนซ์เงิน สียอดนิยมรุ่นหนึ่ง

มองรอบๆ คัน ต้องบอกว่าเหมือนมีดีเอ็นเอของรถหลายๆ รุ่น ไม่ว่าจะเป็นกระจังหน้าขนาดใหญ่พร้อมสัญลักษณ์ “MG” ซึ่งไม่ได้มีไว้บอกยี่ห้อเท่านั้น หากแต่ยังซ่อนกล้องและเซ็นเซอร์ไว้ด้วย

เส้นสายตัวถังแบบ British Shoulder Line

ไฟหน้าทรงสวยแบบ LED Projector เปิด-ปิดไฟสูงอัตโนมัติ พร้อมไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่เวลากลางวัน และมีไฟเลี้ยวซ้อนอยู่ในตัว

กระจกมองข้างสีเดียวกับตัวรถพร้อมไฟเลี้ยว โดยด้านใต้ฐานกระจกติดตั้งกล้อง ที่จะเชื่อมกับกล้องรอบๆ คัน ส่งภาพแบบมุมสูงมาให้

ไฟท้ายแบบ Space Light Field

ลูกเล่นที่ดูหรูหราไม่พ้นไฟเลี้ยวทั้งด้านหน้าและหลังที่แสดงผลไล่ระดับแบบ “Sequential” วิ่งไล่จากข้างหนึ่งไปอีกข้างหนึ่ง ซึ่งส่วนใหญ่ให้มาในรถยุโรป หรือรถญี่ปุ่นระดับสูง

ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว กำลังสวย

ฝากระโปรงท้ายระบบไฟฟ้า (Electric Liftgate) สามารถตั้งระดับการเปิดว่าต้องการระยะสูงขนาดไหน

 

ห้องโดยสารเน้นความสปอร์ตและหรูหราในที ใช้สีทูโทนดำ-แดง

พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นแบบท้ายตัด ปุ่มด้านขวาควบคุมระบบหน้าจอเรือนไมล์ หน้าจอแสดงผลที่มาตรวัดแบบ Interactive Multi-Function Display ขนาด 7 นิ้ว

ส่วนปุ่มด้านขวาคุมเครื่องเสียง

ตรงกลางเป็นหน้าจอหลักแบบ Smart Touchscreen ขนาด 10 นิ้ว รวบรวมการปรับ ตั้งค่าต่างๆ ได้ละเอียดเว่อร์ๆ

ไม่ว่าจะเป็นการเปิด-ล็อกประตู สามารถตั้งได้ว่าต้องการให้ล็อกเมื่อความเร็วเท่าไหร่ หรือการปลดล็อกเฉพาะประตูด้านคนขับ หรือปลดล็อกประตูทั้ง 4 บาน

รวมไปถึงน้ำหนักพวงมาลัย ต้องการเบา-กลาง หรือหนัก

ต้องบอกว่าผมไม่ค่อยได้เห็นที่รถราคาประมาณนี้จะสามารถปรับแต่งได้หลากหลายเช่นนี้

เรียกว่าสามารถปรับตั้งได้เกือบทุกระบบ

ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ Dual Zone และช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารด้านหลัง รวมถึงช่องต่อยูเอสบีผู้โดยสารตอนหลังด้วย

เบาะนั่งสีแดงดำ พนักพิงศีรษะคู่หน้าเจาะเป็นช่องเพิ่มความสปอร์ต ส่วนด้านหลังพนักพิงสามารถปรับเอนได้ เพิ่มความสบายหากต้องเดินทางไกล

พนักพิงตรงกลางสามารถดึงลงมาเป็นที่เท้าแขน พร้อมช่องเก็บของและที่วางแก้ว 2 ตำแหน่ง เปิด-ปิดแบบซอฟต์ทัช

ดูไฮโซไปอีกกับไฟในห้องโดยสารแบบ Interactive Ambient Light ที่มีแสงต้อนรับทันทีที่เปิดประตู สามารถปรับโทนแสงภายในห้องโดยสารได้มากถึง 64 เฉดสี

กล่องเก็บของด้านหน้าบริเวณที่เท้าแขนคนขับมีระบบเป่าแอร์เพิ่มความเย็นให้เครื่องดื่ม อาจไม่ได้เย็นจัด แต่ดีกว่าไม่มีมาให้

หลังคาซันรูฟแบบพาโนรามิก (Panoramic Sunroof) ขนาดใหญ่ เปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า

 

ขึ้นประจำตำแหน่งคนขับมีปุ่มสตาร์ตให้ เสียงเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบขนาด 1.5 ลิตร กำลังสูงสุด 162 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 250 นิวตัน-เมตร ไม่ได้ดังมากนัก

ระบบเกียร์ TST (Twin Clutch Sportronic Transmission) 7 สปีด ทำงานได้ราบเรียบ

ดึงคันเกียร์ลงมาที่ตำแหน่ง “D” หัวเกียร์หุ้มหนังดูดีทีเดียว ใกล้ๆ กันเป็นเบรกมือไฟฟ้า ใช้งานง่ายแค่กระดิกนิ้วเท่านั้น

การขับขี่มีให้เลือก 4 โหมด Eco, Normal, Sport และ Custom มีปุ่มปรับเปลี่ยนอยู่บริเวณข้างคันเกียร์ หรือจะปรับที่หน้าจอ Smart Touchscreen ก็ได้เช่นกัน

นอกจากนี้ มีโหมด “Super Sport” เป็นปุ่มสีแดงอยู่บนแป้นพวงมาลัย เพิ่มความสะดวกหากต้องการอัตราเร่งกระชับขึ้นแบบทันทีทันใด หากอยู่ในโหมด Eco หรือ Normal โดยไม่ต้องละสายตามากดปุ่มเปลี่ยนโหมด ซึ่งอันตรายระหว่างการขับขี่

ทริปนี้ส่วนใหญ่ผมใช้โหมด Normal เพราะ Eco ดูจะไม่ค่อยทันใจนัก ส่วน Sport ให้กำลังได้ดีขึ้น แต่หากขับในเมืองผมว่าไม่ค่อยจำเป็นเท่าไหร่ ที่สำคัญเปลืองน้ำมันด้วย

แต่หากต้องการอัตราเร่งตอนแซงแบบจี๊ดจ๊าด ก็กดปุ่มสีแดงบนพวงมาลัย เปลี่ยนเป็น “Super Sport” เรียกกำลังมาได้ทันใจดีเหลือเกิน

ในโหมด Normal เหมาะกับการใช้ในเมืองแบบไปเรื่อยๆ ไม่ได้รีบเร่งมาก อัตราเร่งอาจไม่ทันใจ เวลาเร่งแซงอาจต้องรอรอบนิดๆ

ส่วนโหมด Sport อัตราเร่งกระชับขึ้นมา แทบไม่ต้องรอรอบ กดเป็นมา ความเร็วระดับ 170-180 กิโลเมตร/ชั่วโมง มาแบบทันใจมาก

ที่ผมไม่ยืนพื้นโหมด Sport ตลอด เวลาขับในเมือง เพราะการขับขี่สัมผัสได้ว่าเครื่องยนต์ไม่นุ่มนวลเท่าโหมด Normal

บวกกับมีหลายช่วงเวลาที่มีคนสูงอายุติดรถไปด้วย

ช่วงล่างด้านหน้าแม็กเฟอร์สันสตรัต ด้านหลังมัลติลิงก์ ค่อนข้างนุ่มนวลเมื่อเทียบกับรถในเซ็กเมนต์เดียวกัน

 

การเข้าโค้งแรงเกินไปอาจมีแรงเหวี่ยงอยู่บ้าง และมีอาการยวบเล็กๆ เนื่องจากการเซ็ตช่วงล่างนั่นเอง

แต่ถ้าเป็นการใช้งานทั่วไปไม่ได้เน้นแข่งกับใคร ช่วงล่างแบบนี้เพียงพอ และยิ่งหากใช้เป็นรถครอบครัว ความรู้สึกของผู้โดยสารจะสบายกว่า

ความเงียบเป็นอีกสิ่งที่ต้องชมเพราะกันเสียงลมได้ดีทีเดียว มีเสียงเครื่องยนต์เล็ดลอดเข้ามาบ้างในยามขับขี่ความเร็วสูง แต่ไม่ได้ดังจนรำคาญ

แต่ถ้าขับด้วยความเร็วกลางๆ หรือตามที่กฎหมายกำหนด แทบไม่ได้ยินเสียงจากภายนอกรบกวนเลย

ระบบไฮเทคต่างๆ ที่ใส่เข้ามาต้องบอกว่ามากมายเกินราคาจริงๆ ไม่ว่าจะเป็น ถุงลมนิรภัย 6 จุด กล้องมองภาพรอบทิศทางแบบ 3 มิติ ระบบช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนรถยนต์คันหน้าในขณะขับขี่

ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน

ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน พร้อมดึงพวงมาลัยกลับ

ระบบช่วยควบคุมรถเมื่อรถจะออกนอกเลน ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน

ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ ฯลฯ

 

แน่นอนว่าระบบปฏิบัติการอัจฉริยะ “i-SMART” ซิกเนเจอร์ของค่ายนี้มีมาให้แน่นอน ซึ่งสามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ตโฟนเพื่อสั่งการได้ด้วย

สามารถสั่งการด้วยเสียงภาษาไทย การเปิดอาจพูดคำว่า “ฮัลโหล เอ็มจี” หรือกดปุ่มที่พวงมาลัยก็ได้เช่นกัน

ช่วงการทดสอบได้ลองใช้บ้าง เช่น การเปิดแผนที่นำทาง หาจุดหมาย ฯลฯ

ส่วนการปรับเสียงวิทยุ หาคลื่นต่างๆ ใช้มือกดที่แป้นบนพวงมาลัยเร็วกว่า

หลังคาพาโนรามิกซันรูฟ เอาจริงๆ ก็เท่ดี แต่ตอนกลางวันยังมีไอร้อนเข้ามาบ้าง แนะนำว่าติดฟิล์มทึบๆ หน่อยพอช่วยได้

โดยภาพรวมแล้ว “เอ็มจี เอชเอส” ถือว่าเป็นเอสยูวีแบบครอบครัวที่น่าใช้มากๆ รุ่นหนึ่ง ที่สำคัญราคาน่าคบทีเดียว

เริ่มต้น 919,000-1,119,000 บาท