ในประเทศ / จากผีน้อย ถึงปีศาจ

ในประเทศ

 

จากผีน้อย

ถึงปีศาจ

 

คําว่า “ผีน้อย”

และคำว่า “ปีศาจ”

กลายเป็นปัญหาให้รัฐบาลต้องปวดหัวและหาทางแก้ไขที่ยุ่งยากมากขึ้น

ผีน้อย อย่างที่ทราบกันดี เป็นคำเรียกคนไทยที่เข้าไปทำงานในเกาหลีใต้อย่างผิดกฎหมาย

เหล่าผีน้อยนี้ คงไม่แตกต่างจาก ‘ครอบครัวคิม’ ที่ประกอบด้วยสมาชิก 4 คนอย่างพ่อ/แม่/ลูกชาย/ลูกสาว ที่อาศัยอยู่ในชั้นใต้ถุนของตึกแถวซอมซ่อ

เป็นตัวละครสำคัญในภาพยนตร์ดัง ‘Parasite ชนชั้นปรสิต’ หนังเกาหลีใต้ ที่สร้างประวัติศาสตร์กวาดรางวัลใหญ่ออสการ์มาครองหลายรางวัล

สิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้โด่งดัง คือประเด็นที่อยู่ในหนัง นั่นคือ ‘ความเหลื่อมล้ำระหว่างชนชั้น’ ที่นับวันก็ยิ่งขยายช่องว่างและยากที่แก้ไข

ครอบครัวคิมพวกเขาต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด ในทุกวิถีทาง ที่นำไปสู่การปะทะกันเองทั้งระหว่างชนชั้นล่าง ไปจนถึงชนชั้นสูง

แต่ที่สุด พวกเขาก็ได้พบความจริงว่า ยังไม่สามารถหลุดพ้นจากวงจรแห่งความเหลื่อมล้ำได้

ด้วยเพราะปัญหาที่แท้จริงมันฝังในระบบอยุติธรรมต่างๆ อยู่

และยังมีคนที่ทนทุกข์กับระบบนี้ต่อไปอีกเรื่อยๆ

 

ชะตากรรมตัวละครในหนัง ก็คงไม่แตกต่างจาก “ผีน้อย”

ผีน้อยที่ดิ้นรนทำหากินอย่างผิดกฎหมาย โดยซุกซ่อนอยู่ตามซอกมุม ห้องใต้ถุนต่างๆ ของแดนกิมจิ

เมื่อเกาหลีใต้เป็นอีกประเทศที่เผชิญปัญหาไวรัสโควิด-19 แพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว

ทำให้คนป่วย เศรษฐกิจทรุด การจ้างงานชะงัก พลอยให้คนไทยในเกาหลีใต้ รวมถึง “ผีน้อย” ต่างแตกตื่น อยากเดินทางกลับบ้าน

แต่ด้วยผีน้อยเข้าเมืองแบบไม่ถูกกฎหมาย

จึงไม่มีสิทธิที่จะเรียกร้องอะไรมาก

นอกจากอาศัยช่องที่เกาหลีใต้เปิดนิรโทษกรรม ให้ผีน้อยเข้าไปรายงานตัวและเดินทางกลับประเทศ ภายในวันที่ 31 มีนาคมที่จะถึงนี้ โดยจะไม่ถูกดำเนินคดีตามกฎหมายและจะไม่ถูกขึ้นแบล็กลิสต์

ทำให้ผีน้อยที่ว่ากันว่ามีระหว่าง 5,000-10,000 คน ต้องการกลับบ้าน

จึงเข้ารายงานตัวกับตรวจคนเข้าเมืองเกาหลีใต้ ก่อนจะทยอยเดินทางกลับมาตุภูมิ

ท่ามกลางความคาดหวังว่า จะได้รับการดูแลจากรัฐบาลไทยบ้าง

 

แต่ทุกอย่างก็ไม่ได้ราบรื่น

ด้วยมีคนไทยอีกไม่น้อยแสดงความไม่เห็นด้วยที่รัฐบาลไทยซึ่งแบกปัญหาหนักอยู่แล้ว จะเข้าไปช่วยเหลือผีน้อย เพราะพวกเขาสมัครใจเข้าไปทำงานที่ไม่ถูกกฎหมายเอง

ดังนั้น จึงต้องรับผิดชอบการกระทำของตนนั้น

และยังแสดงความเป็นห่วงเป็นใยว่าผีน้อยเหล่านี้จะหอบหิ้วเอาโรคระบาดกลับมาด้วยหรือไม่

เกิดการถกเถียง พร้อมมีข้อเสนอมากมาย

ถึงขนาดคำว่า “ผีน้อย” ขึ้นแฮชแท็กอันดับ 1 ของโลกทวิตเตอร์วันนี้

แต่ก็มีคนไทยอีกจำนวนหนึ่งแสดงความเห็นใจผีน้อย ที่ต้องดิ้นรนไปทำมาหากิน ทั้งที่รู้ว่าผิดกฎหมาย แต่ก็เสี่ยงไปทำ เพื่อหาเงินมาเลี้ยงตัวและครอบครัว

เงินจำนวนไม่น้อยถูกส่งกลับประเทศ เป็นผลดีกับเศรษฐกิจที่ไม่ค่อยมีคนพูดถึง

ดังนั้น เมื่อเขาตกทุกข์ได้ยาก

ผีน้อยก็ควรได้รับการช่วยเหลือ

อย่างน้อยที่สุด ก็เป็นคนไทยด้วยกัน

 

นี่จึงเป็นปัญหาอีกปัญหาที่รัฐบาลต้องแบก

และพิสูจน์แนวทางที่ประกาศมาตลอด นั่นคือ จะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง จริงหรือไม่

จึงเป็นคำถามว่า รัฐบาลจะแก้ปัญหาอย่างไร

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม (กห.) บอกว่า คงต้องประชุมในรายละเอียดว่าจะทำอย่างไร และจะมีมาตรการอย่างไร หากจะต้องกักตัวทั้งหมด

“ปัญหาใหญ่คือจะควบคุมคนจำนวนมากได้อย่างไร เพราะไม่ใช่แค่ร้อยกว่าคน แต่มีจำนวนหลายพันอาจถึงหมื่นคน ที่เราอาจกักตัวไว้อีก 14 วัน หรือจะเฉพาะบางส่วนที่ตรวจพบ ต้องหาวิธีการที่เหมาะสม”

ซึ่งคำว่าที่เหมาะสม ต้องถือว่ามีความละเอียดอ่อน

เพราะหากปฏิบัติต่อเหล่าผีน้อยแตกต่างจากคนไทยอื่น โดยเฉพาะนักท่องเที่ยว ที่ส่วนใหญ่มีฐานะปานกลางถึงสูง จึงมีความสามารถไปท่องเที่ยวได้ ก็อาจจะเกิดประเด็นการปฏิบัติต่อคนไทยหลายมาตรฐาน

และอาจถูกโยงเข้าสู่ปัญหาการเหลื่อมล้ำได้โดยง่าย

ซึ่งเมื่อบานปลายไปยังประเด็นละเอียดอ่อนดังกล่าว ย่อมยากจะแก้ไข

และรัฐบาลเองก็ถูกโจมตีอย่างหนักที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำได้

 

ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้รัฐบาลไม่มีทางเลือกมาก

โดยในที่สุด นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.)

ได้ลงนามในประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ท้องที่นอกราชอาณาจักรที่เป็นเขตโรคติดต่ออันตราย กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด-19 พ.ศ.2563

ความตอนหนึ่งระบุว่า เพื่อประโยชน์ในการป้องกันและควบคุมโรคที่อาจจะเข้ามาภายในราชอาณาจักร และเพื่อให้การเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคดังกล่าวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดย “ให้ท้องที่นอกราชอาณาจักรดังต่อไปนี้ เป็นเขตโรคติดต่ออันตราย กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด-19” 9 ประเทศ ได้แก่ 1.ญี่ปุ่น 2.เยอรมนี 3.เกาหลีใต้ 4.จีน รวมถึงมาเก๊า และฮ่องกง 5.ไต้หวัน 6.ฝรั่งเศส 7.สิงคโปร์ 8.อิตาลี 9.อิหร่าน

ส่งผลให้ผู้ที่เดินทางมาจากประเทศดังกล่าว รวมถึงประเทศเกาหลีใต้ จะต้องถูกกักตัวเพื่อดูอาการ 14 วัน ทุกคน

“ถ้าผีน้อยไม่ใช่คนไทยก็คงประกาศไม่ให้มา แต่เพราะเป็นคนไทย มีสิทธิ์ที่จะกลับบ้านเกิด จึงเป็นโจทย์ที่เราต้องมาทำการบ้านในการควบคุม และยืนยันว่าตอนนี้ ยาพร้อม หมอพร้อม ห้องพยาบาลพร้อม การคัดกรองเข้มข้น อุปกรณ์และเวชภัณฑ์ทุกอย่างพร้อม” นายอนุทินระบุ

และว่า กลุ่มผีน้อยอาจจะไม่ได้เดินทางมาทีเดียว 5 พันคน ซึ่งจะประสานไปยังทุกสายกับบินของเกาหลีที่จะเข้ามาในประเทศไทย ว่าจะต้องรับผิดชอบอะไรบ้าง หากไม่มีการคัดกรองบุคคลที่จะเดินทางเข้ามาภายในราชอาณาจักรไทย

รวมทั้งค่าใช้จ่ายต่างๆ และการกักตัวในเวลาที่กำหนดผู้ที่เดินทางมาจะต้องเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายเอง ซึ่งมีบทบัญญัติในกฎหมายอยู่

ซึ่งนี่ก็คงทำให้ผีน้อยคิดหนัก ว่าจะสามารถแบกภาระค่าใช้จ่ายจำนวนนี้ได้หรือเปล่า

 

แม้นายอนุทินจะยืนยันถึงความพร้อม แต่ก็ต้องถือว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่

เพราะต้องหาสถานที่ในการกักตัวผู้ที่มาจาก 9 ประเทศ ให้เพียงพอ

การบริหารจัดการ จะต้องมีประสิทธิภาพ

ซึ่งถือเป็นภาระที่หนัก เพราะปัจจุบัน บุคลากรในแวดวงสาธารณสุขก็มีภารกิจที่หนักและล้นมืออยู่แล้วในการควบคุมให้การแพร่เชื้อไวรัสโควิด-19 อยู่ในวงจำกัด การที่ต้องรับมือกับประชาชนอีกหลายพันหรืออาจถึงหมื่น จึงไม่ใช่เรื่องเล่นๆ

และจะไปมองว่า คนเหล่านี้เป็น “ผีน้อย” ไม่ควรได้รับการเอาใจใส่ อย่างเช่นคนไทยอื่น ก็ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องนัก

แม้ “ผีน้อย” จะโผล่ขึ้นมาหลอกหลอน โดยไม่คาดฝันมาก่อนก็ตาม

 

นอกจากผีน้อย ที่หลอกหลอนรัฐบาลแล้ว

อย่างที่บอกตอนต้น

ปีศาจ ก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่โผล่ขึ้นมาเขย่ารัฐบาล

โดยผู้ที่ปลุกปีศาจขึ้นก็คือ นายปิยบุตร แสงกนกกุล อดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ที่ยกวลีอมตะ ‘สาย สีมา’ ในนวนิยาย “ปีศาจ” ของเสนีย์ เสาวพงศ์ มาเป็นส่วนหนึ่งในการแถลงข่าวหลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยตัดสินยุบพรรคอนาคตใหม่ ในคดีเงินกู้ 191 ล้านบาท ทำให้กรรมการบริหารพรรค 16 คน อาทิ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ นายปิยบุตร และ น.ส.พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรค เป็นต้น ถูกเพิกถอนสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 10 ปี

โดยนายปิยบุตรได้ยกประโยคอันทรงพลังของสาย สีมา ทนายหนุ่มผู้ยึดมั่นในอุดมการณ์ ในนวนิยายอมตะ เรื่อง “ปีศาจ” ของเสนีย์ เสาวพงศ์ มาตอนหนึ่ง ว่า

“นี่ไม่ใช่จุดจบ แต่นี่คือจุดเริ่มต้น

เพราะพวกเราเป็นปีศาจที่กาลเวลาได้สร้างขึ้นมา

เพื่อหลอกหลอนคนที่อยู่ในโลกเก่า ความคิดเก่า

ทำให้เกิดละเมอ หวาดกลัว และไม่มีอะไรที่จะเป็นเครื่องปลอบใจท่านเหล่านี้ได้

เท่ากับไม่มีอะไรหยุดยั้งความรุดหน้าของกาลเวลา

ที่จะสร้างปีศาจเหล่านี้ให้มากขึ้นทุกที”

 

ปีศาจ ที่นายปิยบุตรหมายถึงนั้น แน่นอนมิได้หมายถึงผี หรือวิญญาณจริงๆ

หากแต่หมายถึง ตัวแทนของคนรุ่นใหม่ ที่จะโผล่ขึ้นมาเขย่า “อำนาจเก่า” อย่างไม่อาจห้ามปรามได้

ปรากฏการณ์ที่นักเรียน นิสิต นักศึกษา หลายสิบแห่งทั้งในส่วนกลางและภูมิภาค ออกมาทำกิจกรรม “แฟลชม็อบ” อย่างต่อเนื่อง

ก็เปรียบได้ดังปีศาจที่โผล่ขึ้นมาหลอกหลอนระบบ และผู้กุมอำนาจในปัจจุบัน ให้ก้าวพ้นไปจากความหลายมาตรฐาน ความไม่เท่าเทียม ความไม่เป็นธรรม และการเลือกปฏิบัติ

ซึ่งทำให้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สั่นคลอนอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

แม้จะมีการพยายามบอกว่า นี่เป็นการจัดตั้ง หลอกลวง โดยมีเป้าหมายเพื่อประโยชน์ทางการเมืองของการเมืองฝ่ายตรงข้าม และพวกที่มีแนวคิดอันตรายชังชาติ

แต่ดูเหมือนว่า จะไม่สามารถหยุดยั้งแฟลชม็อบในรั้วการศึกษาได้

ยังไม่อาจคาดได้ว่า ปรากฏการณ์เหล่านี้จะพัฒนาไปถึงไหน อย่างไร

จะฝ่อกลางทาง หรือลุกลามเป็นการเคลื่อนไหวใหญ่ ที่มุ่งไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

ยังไม่อาจมีใครประเมินได้

เพียงแต่ ณ นาทีนี้ คงไม่มีใครมองข้ามปรากฏการณ์ปีศาจ ที่กาลเวลาสร้างขึ้นมาได้

 

แม้มีความพยายามที่จะผูกมัดเอา “ผีน้อย” กับ “ปีศาจ” เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน

นั่นคือ พยายามทำให้ทั้งสองเรื่องเป็น “วิกฤต” เป็นเหตุ “ฉุกเฉิน” ที่จำเป็นต้องมีกฎหมายเหล็กควบคุม

โดยคนในรัฐบาล มีการโยนหิน ที่จะใช้ พ.ร.บ.ควบคุมโรคระบาด ควบคุมมิให้มีการทำกิจกรรมในรูปแบบการชุมนุมคนจำนวนมาก

ด้วยการอ้างเหตุผลเพื่อป้องกันไม่ให้มีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด

แน่นอน ย่อมหมายรวมถึง การชุมนุมของเหล่านิสิตนักศึกษาด้วย

แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผล

การแสดงออกของคนรุ่นใหม่ ยังคงดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง

  และปีศาจตนนั้น ยังไม่อาจควบคุมได้โดยง่ายและเป็นปัญหาที่หนักอก ไม่ต่างจากผีน้อยเท่าใดนัก!!