นงนุช สิงหเดชะ : ขบวน-ท่วงท่าม็อบ “ธรรมกาย” คุ้นๆ คลายๆ “ม็อบสี” ทางการเมือง

ยืดเยื้อมาเกินครึ่งปีแล้วสำหรับปฏิบัติการนำตัวพระธัมมชโย อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย มาดำเนินคดีข้อหาฟอกเงิน-รับของโจร ตลอดจนข้อหารุกป่า

แต่ทว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐก็ยังไม่ประสบความสำเร็จมาจนถึงปัจจุบัน เพราะบรรดาศิษย์-สาวกธรรมกายใช้กำแพงมนุษย์ ทั้งโยมทั้งพระขัดขวางไม่ให้เจ้าหน้าที่เข้าไปภายในวัด

นับจากศาลออกหมายจับธัมมชโย เมื่อกลางปีที่แล้ว ทางเจ้าหน้าที่ให้เวลา 7 วัน มามอบตัว แต่ไม่ผิดคาดเพราะอดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายยังเงียบเฉย โดยทางทีมงานซึ่งเป็นมือไม้ได้เตะถ่วงเวลามาเรื่อย อ้างว่าพระธัมมชโยอาพาธ เดินไม่ได้ ทำให้เจ้าหน้าที่นำหมายค้นเดินทางไปยังวัดพระธรรมกายเพื่อขอค้นหาตัวธัมมชโยรอบแรกเมื่อเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว

แต่ก็ล้มเหลวเพราะศิษย์และสาวกไม่ยอมให้เข้า มีการระดมคนเข้ามานั่งสวดมนต์เป็นกำแพงสกัดเจ้าหน้าที่

กลุ่มลูกศิษย์สาวๆ 3-4 คนของวัดพระธรรมกาย ใส่หน้ากากอนามัยและหมวกปิดบังใบหน้า ออกมายืนอ่านแถลงการณ์ถึงสาเหตุที่ไม่ให้เจ้าหน้าที่เข้าไปค้น โดยตอนหนึ่งบอกว่าจะให้ค้นต่อเมื่อ “บ้านเมืองมีประชาธิปไตย”

ซึ่งฟังแล้วก็คล้ายๆ กับคำพูด “ซ้ำซาก” ที่เรามักได้ยินจากกลุ่มคนที่สังกัดสีทางการเมืองของพรรคหนึ่

ไม่ต้องใช้ความพยายามในการสังเกตมากก็รู้ได้เองว่าการเคลื่อนไหวของบรรดาผู้เลื่อมใสในพระธัมมชโยสอดคล้องกับ “ท่วงท่า-ลีลา-เทคนิค” ของการเคลื่อนไหวทางการเมืองของพรรคหนึ่ง สีหนึ่ง

ท่วงท่า-ลีลานั้น เด่นชัดมากขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย หลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ประกาศใช้กฎหมายมาตรา 44 เมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นกฎหมายเข้มข้นที่สุด กำหนดให้วัดพระธรรมกายเป็นพื้นที่ควบคุม หวังจะเผด็จศึกอดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย

คราวนี้เจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปค้นในวัดพระธรรมกายบางส่วนหรือราว 20 % ของพื้นที่เท่านั้น แต่ไม่พบตัวอดีตเจ้าอาวาส ยังเหลือพื้นที่อีก 80% ที่ยังไม่ได้ค้น ซึ่งเชื่อว่าอดีตเจ้าอาวาสยังกบดานอยู่ในวัด ระหว่างนี้ยังคงใช้มาตรา 44 กำหนดให้เป็นพื้นที่ควบคุม กันไม่ให้คนจากภายนอกเข้าไปสมทบ

ช่วงนี้เองที่บรรดาลูกศิษย์วัดพระธรรมกาย ใช้ท่วงท่า-ลีลา ที่เราๆ ท่านๆ คุ้นหูคุ้นตากันมาก นั่นก็คือใช้โซเชียลมีเดียและเครื่องมือต่างๆ บิดเบือนปลุกระดม เช่น อ้างว่าเจ้าหน้าที่เตรียมจะดำเนินคดีกับผู้ที่ออกไปจากวัด อ้างว่ามีการเตรียมรถขังไว้รอแล้ว (ทั้งที่ความจริงคือเจ้าหน้าที่ต้องการให้ญาติโยมธรรมกายออกจากวัดเพื่อจะได้ลดจำนวนมวลชนลงตามเป้าหมาย) นอกจากนี้ก็อ้างว่ารัฐจะยึดรูปเหมือนทองคำหลวงพ่อวัดปากน้ำและยึดวัด ทำให้เกิดการปะทะกันบาดเจ็บเล็กๆ น้อยๆ ทั้งม็อบและเจ้าหน้าที่

นอกจากนี้ก็มีการเขียนป้ายประท้วงโดย ให้พระบ้าง เณรบ้าง โยมบ้าง เป็นผู้ถือป้าย

แน่นอนต้องไม่พลาด “ป้ายภาษาอังกฤษ” เป้าหมายคือสื่อสารไปยังสื่อมวลชนต่างชาติ

และคงไม่ “ครบสูตร” ถ้าไม่มีป้ายเรียกร้องให้ยูเอ็นเข้ามาช่วยเหลือ

ที่น่าสงสัยและแสดงถึงพิรุธก็คือญาติโยมเหล่านี้พากันใส่หมวก ใส่หน้ากากปิดหน้าปิดตากันแทบทุกคน ทั้งที่ไม่ใช่ช่วงการระบาดของไข้หวัดนกหรือโรคติดต่ออื่นใด

ส่วนอดีตรองนายกรัฐมนตรีของพรรคการเมืองใหญ่พรรคหนึ่ง ก็โพสต์เฟซบุ๊กแสดงให้เห็นว่าเขาไปตักบาตรใกล้ๆ วัดพระธรรมกาย โดยเขียนข้อความว่ามาตักบาตรไกลเพราะเลื่อมใสญาติผู้พี่ที่มาบวชที่วัดพระธรรมกาย

เพราะฉะนั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าวัดนี้เกี่ยวข้องทางการเมืองกับพรรคใด เท่ากับเป็นการยืนยันข้อสันนิษฐานที่ว่าวัดนี้เป็น “เรี่ยวแรงสำคัญด้านมวลชน” ให้กับพรรคนี้ในช่วงที่ผ่านมา

จนถึงปัจจุบันนี้ ยังคงมีการบิดเบือนอยู่มากว่ารัฐต้องการเล่นงานวัดพระธรรมกายเพราะถือเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของรัฐเนื่องจากมีลัทธิคำสอนที่ผิดเพี้ยนไปจากพุทธที่แท้จริง

แม้แต่คนจบระดับด๊อกเตอร์บางคนก็คงไม่ได้ศึกษาข้อมูลให้ดีว่าแท้จริงแล้วอดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายโดนข้อหาอะไร ก็เลยยังเข้าใจไปว่าถูกจับเพราะข้อหาเป็นภัยต่อรัฐ

อันที่จริงข้อหาของธัมมชโยนั้นตรงไปตรงมา เป็นคดีอาญาธรรมดา เรื่องเริ่มจากคณะผู้บริหารสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ได้ฟ้องร้องดำเนินคดีกับ นายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์แห่งนี้ หลังจากพบว่ายักยอกทรัพย์ของสหกรณ์ไปเกือบ 12,000 ล้านบาท สร้างความเสียหายให้กับผู้ฝากเงินหลายหมื่นราย หลายคนหมดเนื้อหมดตัวและนายศุภชัยนำเงินที่ยักยอกนี้ไปให้ธรรมกาย

นายศุภชัย นอกจากเป็นผู้ก่อตั้งสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นแล้ว ยังก่อตั้งสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนมงคลเศรษฐี มีพระธัมมชโยเป็นที่ปรึกษา โดยให้ดอกเบี้ยสูงแก่ผู้ฝาก จากนั้นสหกรณ์ก็นำเงินนี้ไปปล่อยกู้ให้กับผู้ที่อยากมีเงินทำบุญกับวัดพระธรรมกายมากๆ ในอัตราดอกเบี้ยสูง โดยได้กำไรส่วนต่างราว 5% ซึ่งคนที่กู้จำนวนไม่น้อยก็มักเป็นคนจน

นี่คือความเกี่ยวพันระหว่างนายศุภชัยกับอดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายจนถูกดำเนินคดีอยู่ในปัจจุบัน

คนที่ยังหลงใหลศรัทธาแบบไม่ลืมหูลืมตา ก็มักจะท่องอยู่ประโยคเดียวว่าพระธัมมชโยถูกกลั่นแกล้ง พระธัมมชโยไม่ผิด

มีพระดังและคนเลื่อมใสศรัทธาอยู่มากมาย แต่ถามว่าทำไมตลอดชีวิตของท่านเหล่านี้ไม่เคยอื้อฉาวเรื่องเงินทอง หรือถูกเปิดโปงว่าใช้ชีวิตหรูหราฟุ่มเฟือยผิดไปจากพระ

หลวงพ่อคูณแห่งวัดบ้านไร่ มีคนนับถือท่านมาก ทำประโยชน์ต่อสังคมมาก มีคนบริจาคเงินให้มากมาย แต่ท่านไม่เคยมีข้อครหาเรื่องเงินทองเลย นั่นก็เพราะท่านดำรงตนเป็นพระที่ถูกต้อง ท่านจัดการเงินได้ถูกต้องตามธรรมวินัย ท่านควบคุมดูแลคนรอบตัวไม่ให้ออกนอกลู่นอกทางได้ดี

แต่สำหรับพระธัมมชโยนั้น ก็เป็นอย่างที่ หมอมโน เลาหวณิช หรืออดีตพระเมตตานนฺโท ซึ่งเคยบวชที่วัดพระธรรมกายนานร่วม 20 ปีเพราะเลื่อมใสในพระธัมมชโย ได้ออกมาเปิดเผยให้สังคมรู้ว่าเขาออกจากวัดแห่งนี้มาเพราะหมดศรัทธาที่พระธัมมชโยทำธุรกิจด้วยการเปิดบริษัทนอมินีขึ้นมาหลายบริษัท และเขาเคยท้วงติงแล้วแต่ไม่เป็นผล

ตามคำบอกเล่าของหมอมโน นอกจากทำธุรกิจแล้ว ชีวิตส่วนตัวของพระธัมมชโย ก็หรูหรายิ่งกว่าฆราวาส ทั้งห้องหับ ฉันอาหารดีราคาแพง นวดหน้าประทินผิวทุกวันด้วยเครื่องสำอางราคาแพง ตื่นตามใจฉัน ไม่ออกบิณฑบาต

คำพูดของหมอมโนน่าเชื่อว่าจะเป็นอย่างนั้นจริงเมื่อพิจารณาจากลักษณะภายนอกของวัดพระธรรมกายที่เน้นวัตถุ เน้นความอลังการ หรูหราใหญ่โตและต้องใช้เงินมากทั้งสิ้น

อีกอย่างหนึ่งหมอมโนไม่มีแรงจูงใจอื่นใดในการออกมาแฉธัมมชโย นอกจากเหตุผลที่ว่าธัมมชโยออกนอกลู่นอกทางของพระ

เรื่องวัดพระธรรมกาย-ธัมมชโย ไม่ใช่เรื่องการกลั่นแกล้งรังแกคนดี ไม่ใช่เรื่องของคน “บุญไม่ถึง บุญไม่พอ” จึงไม่เห็นความน่าเลื่อมใสของพระธัมมชโย แต่เป็นเรื่องที่ว่าหากใครมี “สติปัญญาถึง” ก็ล้วนรู้ได้เองว่านี่ไม่น่าจะใช่พระ แต่ดูคล้าย “ธุรกิจขายตรงบุญ” มากกว่า