ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 28 กุมภาพันธ์ - 5 มีนาคม 2563 |
---|---|
คอลัมน์ | สิ่งแวดล้อม |
ผู้เขียน | ทวีศักดิ์ บุตรตัน |
เผยแพร่ |
การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา หรือโควิด-19 (COVID-19) ไม่เพียงจะทำให้เศรษฐกิจโลกทรุดฮวบอย่างเห็นได้ชัดเท่านั้น หากยังส่งผลต่อสถานการณ์สิ่งแวดล้อมของโลกอีกด้วย
ทั้งนี้ จากการศึกษาของศูนย์วิจัยพลังงานและอากาศสะอาดแห่งฟินแลนด์ ระบุว่า ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในจีนลดลงราว 100 ล้านเมตริกตัน
ปริมาณดังกล่าวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วเท่ากับจีนช่วยโลกลดการปล่อยก๊าซพิษลงราว 6 เปอร์เซ็นต์
ปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในจีนลดลงก็เพราะโรงงานต่างๆ ประกาศปิดตัวเองเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส คนงานเองก็กลัวติดเชื้อไม่กล้าออกนอกบ้าน ขณะเดียวกันยอดการสั่งซื้อสินค้าลดลงด้วย จึงทำให้ปริมาณการใช้น้ำมันหรือถ่านหินลดฮวบฮาบ
ผลการศึกษาพบว่าปริมาณความต้องการใช้พลังงานใช้ถ่านหินในโรงไฟฟ้าลดลงต่ำสุดในรอบ 4 ปี
โรงงานเหล็กลดการผลิตลงในรอบ 5 ปี
จีนเป็นทั้งแหล่งผลิต แหล่งบริโภคที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และนำเข้าน้ำมันมากที่สุดในโลก
ในมณฑลซานตง มีโรงกลั่นน้ำมันขนาดใหญ่ป้อนน้ำมันไปทั่วจีน เมื่อเกิดวิกฤตไวรัสโคโรนา ปริมาณการผลิตน้ำมันในซานตงลดฮวบต่ำสุดในรอบ 5 ปี
รัฐบาลจีนงัดมาตรการเข้มงวดอย่างสุดๆ ในการสกัดการแพร่ระบาดของเชื้อโรค เช่น ปิดเมือง ห้ามผู้คนเดินทางไปไหนมาไหนโดยไม่ใส่หน้ากากอนามัย ทำให้สภาพเมืองแทบร้าง
นักข่าวบีบีซีประจำกรุงปักกิ่ง ใส่หน้ากากอนามัยออกสำรวจความเป็นไปหลังเกิดวิกฤตโควิด-19 ภายในเมืองหลวงของจีนซึ่งมีประชากรราว 21 ล้านคน ปรากฏว่า บนถนนหนทางมีคนเดินไป-มาน้อยมาก และทุกคนสวมหน้ากากอนามัย
บีบีซีสัมภาษณ์คนที่ไปจับจ่ายซื้อของ ทุกคนตอบเหมือนกันว่า กลัวติดเชื้อไวรัสโคโรนา ถ้าซื้อของในร้านค้า กลับถึงบ้านต้องล้างมือล้างหน้าให้ทั่วหลายครั้งเพื่อสกัดเชื้อลามเข้าตัว
สถานีรถไฟใต้ดินหรือรถบัสโดยสาร ดูโหรงเหรง ผู้โดยสารที่ใช้บริการต้องให้เจ้าหน้าที่ตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายก่อน
ตัวเลขล่าสุดเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาในจีนมีการแพร่ระบาดและผู้ติดเชื้ออยู่ที่ 76,288 คน เสียชีวิตแล้ว 2,345 คน
แม้รัฐบาลจีนบอกว่า จำนวนคนติดเชื้อลดลง แต่กลับมีการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ในประเทศอื่นๆ มากขึ้น
เกาหลีใต้มีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มอย่างน่าตกใจเป็น 600 คน ในช่วงเวลาไม่กี่วัน มีผู้เสียชีวิตไปแล้ว 6 คน
รัฐบาลเกาหลีใต้ต้องยกระดับการควบคุมการแพร่ระบาดไวรัสโคโรนาขั้นสูงสุด โดยเฉพาะเมืองแตกู ซึ่งมีการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วเพราะมีหญิงคนหนึ่งติดเชื้อแต่ไม่รู้ตัว ไปร่วมกิจกรรมทางศาสนาในโบส์ถและแวะเวียนร้านค้า ทักทายเพื่อนฝูง ปรากฏว่าเชื้อฟักตัวแล้วแพร่ระบาดไปทั่ว
รัฐบาลเกาหลีใต้ต้องสั่งปิดเมืองแตกูพร้อมกับแนะนำชาวเมืองราว 250,000 คนให้ตรวจสุขภาพอย่างเร่งด่วน
ที่ญี่ปุ่นพบผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 มีอายุต่ำกว่า 10 ขวบเป็นครั้งแรก ทำให้เกิดข้อสังเกตว่า เชื้อร้ายนี้สามารถเจาะเข้าไปสู่คนในทุกวัย ไม่ใช่เฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุหรือคนที่มีภูมิต้านทานต่ำ
ประเทศอิหร่านอยู่ห่างจากจุดเริ่มต้นของแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโคโรนาคือเมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย หลายพันกิโลเมตร แต่มีผู้เสียชีวิต 8 คน ติดเชื้อ 43 คน สร้างความตื่นตระหนกตกใจให้กับชาวอิหร่านอย่างมาก รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านพากันผวาสั่งปิดชายแดนสกัดการเข้า-ออก
เช่นเดียวกับที่อิตาลี มียอดผู้ป่วยมากขึ้น เมืองใหญ่อย่างมิลาน หรือเมืองท่องเที่ยวเช่นเวนิส ต้องยกเลิกกิจกรรม ปิดโรงเรียน แหล่งชุมชน
สําหรับผลกระทบกับเศรษฐกิจโลก มีการประเมินผลเบื้องต้นโดยนักเศรษฐศาสตร์ของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ประเทศอังกฤษ ว่า โควิด-19 ทำให้เศรษฐกิจโลกพังพาบไปแล้ว 110,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
ใครอยากรู้ว่าคิดเป็นเงินไทยเท่าไหร่ ก็เอา 32 บาทคูณเข้าไป จำนวนความเสียหายนี้เทียบเท่ากับผลผลิตทางเศรษฐกิจทั้งปีของอินโดนีเซียซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 16 ของโลก
การแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังไม่จบ คาดว่าความเสียหายทางเศรษฐกิจอาจจะตามมาอีกมาก
ข่าวโควิด-19 ยังมีอีกหลายมุมนอกเหนือจากผลกระทบทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม อย่างเช่น มีข่าวกระฉ่อนไปทั่วยุโรปว่า กระทรวงสาธารณสุขรัสเซียตรวจพิสูจน์พบโควิด-19 ไม่ได้เกิดจากธรรมชาติ หากเป็นการคิดค้นโดยฝีมือคนซึ่งเอาไวรัสโคโรนาจากค้างคาวและไวรัสโคโรนาที่ไม่รู้ต้นตอมาพัฒนาตัดต่อทางพันธุกรรมจนกลายเป็นเชื้อโควิด-19 แล้วซีไอเอเอาเชื้อนี้ไปแพร่ในอู่ฮั่นเพื่อทำลายเศรษฐกิจจีน
ตามข่าวบอกว่า กระทรวงสาธารณสุขรัสเซียพิสูจน์พันธุกรรมของเชื้อโควิด-19 มีลักษณะเทียบเคียงกับเชื้อไวรัสซาร์สหรือโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันร้ายแรงถึง 70 เปอร์เซ็นต์
ในข่าวยังโยงว่า สหรัฐใช้โควิด-19 เป็นอาวุธชีวภาพ เหมือนๆ กับการใช้อาวุธชีวภาพในสงครามซีเรีย
แต่ฝั่งสหรัฐอ้างว่ามีการตรวจสอบที่มาของข่าวพบจุดเริ่มต้นมาจากสื่อออนไลน์ในรัสเซีย จากนั้นมีการแปลเป็นภาษาอังกฤษ เยอรมัน อิตาเลียน และฝรั่งเศส เผยแพร่ไปทั่วยุโรป สร้างความอลหม่าน
ต่อมารัฐบาลสหรัฐออกมาแถลงอัดรัสเซียว่าเป็นต้นเหตุของการปล่อยข่าวปลอมทำลายความน่าเชื่อถือของสหรัฐ
ตัวผมเองก็เคยได้ยินข่าวนี้จากปากชาวอิสราเอล ในช่วงแรกๆ ที่มีไวรัสโคโรนาแพร่ระบาดเมื่อปลายเดือนมกราคม ระหว่างนั้นมีชาวอิสราเอลมากระซิบว่า เชื้อไวรัสที่ระบาดในจีน เป็นฝีมือของอเมริกัน หวังสกัดการแผ่อิทธิพลของจีน
ผมหัวเราะแล้วบอกหนุ่มยิวคนนั้นว่า เป็นทฤษฎีสมคบคิด เป็นเรื่องกุข่าวให้ปั่นป่วน
แต่หลังกลับมาจากอิสราเอล ได้ยินทฤษฎีสมคบคิดหนาหูขึ้นจนกระทั่งสหรัฐซัดกับรัสเซียเพราะข่าวนี้
อีกมุมหนึ่งของข่าวก็บอกว่า จีนนั่นแหละเป็นผู้คิดค้นพัฒนาเชื้อโควิด-19 เพื่อใช้เป็นอาวุธชีวภาพ แต่บังเอิญเชื้อนี้หลุดออกจากห้องแล็บ แพร่ระบาดไปทั่ว
รัฐบาลจีนแถลงตอบโต้ทันควันว่าเป็นทฤษฎีสมคบคิดสร้างข่าวปลอมดิสเครดิตกัน
ชาวบ้านอย่างเราๆ ได้แค่ฟังหูไว้หู เพราะไม่รู้ว่าข่าวไหนคือปลอมหรือข่าวปล่อย และก็รอเวลาพิสูจน์ความจริง
แต่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้คือผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสทำให้สถานการณ์โลกแปรปรวน ผันผวนอย่างรุนแรง