โผทหารเมษาฯ กรุ่นๆ“วงศ์เทวัญ-บูรพาพยัคฆ์”ชิงคุมทัพ1 วัดใจ“บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม”

โผทหารเมษาฯ กรุ่นๆ “วงศ์เทวัญ-บูรพาพยัคฆ์” ชิงคุมทัพ 1 วัดใจ “บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม” และ สัญญาณปรองดอง ที่ ทบ. “บิ๊กโด่ง-บิ๊กเจี๊ยบ-ราชภักดิ์”

 

สไตล์การจัดทำโผโยกย้ายทหารของ บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในฐานะ รมว.กลาโหม จะทำแบบเงียบๆ

ซึ่งอีกไม่กี่อึดใจ การแต่งตั้งโยกย้ายทหารกลางปี หรือที่เรียกว่า โผเมษาฯ ก็จะคลอดออกมาแล้ว เพราะจะต้องมีผล 1 เมษายน 2560

ตามปกติ โผกลางปีแบบนี้ จะมีโยกย้ายน้อย และไม่ค่อยมีการเปลี่ยนตำแหน่งหลักมากนัก ยกเว้นรองรับนายทหารที่จะเกษียณ เช่น ต้องขยับจาก พลโท เป็น พลเอก ก่อนเกษียณ

แต่เพราะคราวนี้ มีการจับตาไปที่ก้าวการขยับของ บิ๊กณัฐ พล.ท.ณัฐ อินทรเจริญ นายทหารน้องรักของ พล.อ.ประวิตร ที่มีข่าวสะพัดว่า จะขยับเป็น พลเอก ในโยกย้ายคราวนี้

แม้อาจไม่ใช่ตำแหน่งหลัก แต่เพื่อที่จะครองอาวุโส พลเอก เอาไว้ก่อน เพื่อที่ว่าในโยกย้ายปลายปีนี้ จะได้ขยับลงตำแหน่งสำคัญ เช่น ห้าเสือ ทบ. ได้อย่างสวยงาม

แต่ก็ทำให้ถูกมองว่า พล.อ.ประวิตร เตรียมวางอนาคตไว้ให้นายทหารบูรพาพยัคฆ์ น้องรักของคนนี้หรือไม่

เพราะเขาเป็นแกนนำเตรียมทหารรุ่น 20 ที่เติบโตมาไล่ๆ กับ บิ๊กแดง พล.ท.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 แต่บิ๊กแดงเข้าไลน์ที่จะขึ้นห้าเสือ ทบ. ในโยกย้ายปลายปีนี้ และรอชิงเก้าอี้ ผบ.ทบ. ต่อไป

พล.ท.ณัฐ อินทรเจริญ

ส่วน พล.ท.ณัฐ นั้น แม้จะไม่ได้เป็นแม่ทัพภาคที่ 1 การนั่งเป็น รอง เสธ.ทบ. ก็สามารถขึ้นเป็นห้าเสือ ทบ. ได้อยู่แล้ว ในโยกย้ายปลายปีนี้

แต่กลับมีข่าวในหมู่คนใกล้ชิดและ ตท.20 ว่า พล.ท.ณัฐ จะขยับขึ้น พลเอก ที่จะทำให้เขากลับมาเป็นที่จับตามองอีกครั้ง เพราะเขามีอายุราชการถึงปี 2564 นานกว่า พล.ท.อภิรัชต์ ที่เกษียณ 2563 เสียอีก

พร้อมๆ กับข่าวนี้ จึงทำให้เกิดแรงกระเพื่อม เพราะหาก พล.ท.ณัฐ ขยับ เก้าอี้ รอง เสธ.ทบ. ย่อมว่างลง

ถ้าเป็นการขยับเอาเจ้ากรมฝ่ายเสนาธิการ หรือฝ่ายอำนวยการ ขึ้นมาเป็น รอง เสธ.ทบ. ก็คงไม่ฮือฮา

แต่เพราะขณะนี้มีข่าวสะพัดในกองทัพภาคที่ 1 ว่า ระหว่าง บิ๊กตู่ พล.ท.กู้เกียรติ ศรีนาคา แม่ทัพน้อยที่ 1 และ บิ๊กโอ พล.ต.พงษ์สวัสดิ์ พรรณจิตต์ รองแม่ทัพภาคที่ 1 ใครจะขยับขึ้นมา

ซึ่งเป็นที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง เพราะหาก พล.ต.พงษ์สวัสดิ์ ได้ขึ้นมาเป็น พลโท ในตำแหน่ง รอง เสธ.ทบ. ในโยกย้ายเมษายนนี้ แม้จะทำให้โอกาสในการชิงตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 1 ในโยกย้ายปลายปี น้อยลงก็ตาม

แต่ก็อย่าลืมว่า การขึ้นมาเป็นพลโทไว้ก่อน แล้วค่อยขยับแนวระนาบ จาก รอง เสธ.ทบ. กลับไปเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 เลยก็ย่อมได้เช่นกัน

เนื่องจากในโยกย้ายปลายปี ช่วงเดือนกันยายน 2560 นั้น พล.ท.อภิรัชต์ จะต้องขึ้นเป็นห้าเสือ ทบ. ตามไลน์อยู่แล้ว

เมื่อนั้น พล.ท.กู้เกียรติ และ พล.ต.พงษ์สวัสดิ์ ซึ่งเป็นเพื่อนเตรียมทหาร 20 ด้วยกัน ก็จะชิงเก้าอี้แม่ทัพภาคที่ 1 ด้วยกันเอง

หากมีการชิงไหวชิงพริบกันตั้งแต่ตอนนี้ พล.ต.พงษ์สวัสดิ์ อาจจะต้องขยับขึ้นเป็นพลโทไว้ก่อน เพราะมีข่าวทั้งการขึ้นไปเป็น รอง เสธ.ทบ. รวมทั้งการขยับ พล.ท.กู้เกียรติ จากแม่ทัพน้อยที่ 1 ไปเป็น รอง เสธ.ทบ.

แล้วให้ พล.ต.พงษ์สวัสดิ์ ขึ้นยศพลโท ในตำแหน่งแม่ทัพน้อยที่ 1 จ่อไว้ก่อนเลย

พล.ต.สันติพงศ์ ธรรมปิยะ และ พล.ท.กู้เกียรติ ศรีนาคา

ส่วน พล.ท.กู้เกียรติ เมื่อขึ้นเป็น รอง เสธ.ทบ. ก็สามารถที่จะขยับขึ้นห้าเสือ ทบ. ในโยกย้ายปลายปีนี้ได้ พร้อมๆ กับ พล.ท.อภิรัชต์ ได้เช่นกัน

แต่ก็รู้ดีว่า สำหรับคนที่โตมาจากสายกำลังรบ ย่อมต้องการที่จะเป็นแม่ทัพด้วยกันทั้งสิ้น เช่นเดียวกับ พล.ท.กู้เกียรติ ก็ย่อมต้องการนั่งเก้าอี้แม่ทัพภาคที่ 1

ขณะที่ในเวลานี้ มีเสียงร่ำลือกันเยอะว่า พล.ต.พงษ์สวัสดิ์ ก็ไม่ธรรมดา เพราะนอกจากผลงานจากการดูแลความสงบเรียบร้อยที่สนามหลวง ในนาม กอร.รส. ด้วยความทุ่มเทแล้ว ยังมี “พลังพิเศษ” ในตัวอีกด้วย

พล.ต.พงษ์สวัสดิ์ ได้ชื่อว่าเป็นนายทหารสายวงศ์เทวัญ ที่เติบโตมาจาก ร.1 รอ. ผ่านมาทุกตำแหน่ง ทั้ง ผบ.ร.1 พัน 2 รอ. และ ผบ.ร.1 รอ. จนถึงเป็น ผบ.พล.1 รอ.

ขณะที่ พล.ท.กู้เกียรติ เป็นนายทหารสายบูรพาพยัคฆ์ที่เติบโตมาใน พล.ร.2 รอ. ผ่านตำแหน่งคอมแมนด์มาทั้งผู้พัน ผู้การกรม จนเป็น ผบ.พล.ร.2 รอ. ที่ก็ถือว่าไลน์สวยงาม และเป็น “น้องรัก” ของ พล.อ.ประวิตร

ที่สำคัญคือ โยกย้ายกันยายนปีที่แล้ว พล.ท.กู้เกียรติ อกหักมาแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อ บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช. ตัดสินใจเลือก พล.ท.อภิรัชต์ เป็นแม่ทัพภาคที่ 1 แม้จะรู้ว่า พล.อ.ประวิตร พี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์ สนับสนุน พล.ท.กู้เกียรติ ก็ตาม

มาคราวนี้ พล.อ.ประวิตร ก็ต้องการที่จะเยียวยาหัวใจน้องรัก ให้ขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 แม้ว่าจะช้า ไม่ทันชิงเก้าอี้ห้าเสือ และ ผบ.ทบ. กับ พล.ท.อภิรัชต์ ที่ก็เป็นเพื่อนรัก ตท.20 ด้วยกัน

ยกเว้นเสียแต่ว่า พล.ท.กู้เกียรติ จะตัดใจจากเก้าอี้แม่ทัพภาคที่ 1 แล้วขึ้น รอง เสธ.ทบ. ไปรอลุ้นขึ้นห้าเสือ ทบ. ในโยกย้ายกันยายนนี้เลย

ส่วน พล.ต.พงษ์สวัสดิ์ ก็ขึ้นเป็นแม่ทัพน้อยที่ 1 แล้วรอขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 ในโยกย้ายปลายปีนี้ อีกทั้งในบรรดาเพื่อน ตท.20 แล้ว เขามีอายุราชการถึงปี 2564

พร้อมๆ กับข่าวสะพัดว่า มี “รายการคุณขอมา” ในการเลือกแม่ทัพภาคที่ 1 คนต่อไปอีกด้วยนั่นเอง ชื่อ พล.ต.พงษ์สวัสดิ์ นายทหารวงศ์เทวัญ จึงมาแรง

แต่ในยุคสถานการณ์ที่ไม่ปกติเช่นนี้ ก็ย่อมไม่อาจมองข้ามแคนดิเดตคนอื่นๆ เพราะแม้จะดูว่ามีแต่เตรียมทหาร 20 คือ พล.ท.กู้เกียรติ และ พล.ต.พงษ์สวัสดิ์ เท่านั้น

แต่ในความเป็นจริง มีรองแม่ทัพภาคที่ 1 อีก 2 คน ทั้ง บิ๊กหนุ่ย พล.ต.ธรรมนูญ วิถี และ บิ๊กติ่ง พล.ต.สันติพงศ์ ธรรมปิยะ ที่สามารถขึ้นนั่งแม่ทัพภาคที่ 1 ได้เลย ในโยกย้ายปลายปีนี้

เมื่อ พล.ท.อภิรัชต์ ขึ้นห้าเสือ ทบ. และขยับ พล.ท.กู้เกียรติ และ พล.ต.พงษ์สวัสดิ์ ออกไปอยู่ บก.ทบ. แต่ก็อาจจะสะเทือนความเป็นพี่น้องๆ

เพราะ พล.ต.ธรรมนูญ และ พล.ต.สันติพงศ์ นั้นเป็นเพื่อน ตท.22 ที่ถูกมองว่าจะต้องชิงกันขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 หลังหมดยุคของ ตท.20

ตอนนี้ถือว่า พล.ต.ธรรมนูญ มีบทบาทโดดเด่น ทั้งการช่วยดูแลความสงบเรียบร้อยที่สนามหลวง ในนาม กอร.รส. เคียงข้าง พล.ต.พงษ์สวัสดิ์

ยิ่งล่าสุด ได้รับความไว้วางใจให้เป็นตัวแทน ทบ. และกองทัพภาคที่ 1 ไปทำหน้าที่ดูแลทหารที่ไปทำงานกับตำรวจ และดีเอสไอ ที่วัดพระธรรมกาย

ขณะที่บทบาทของ พล.ต.สันติพงศ์ อาจจะดูเงียบๆ เพราะกำลังเรียนหลักสูตรวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) แถมเป็นประธานรุ่นอีกด้วย

ว่ากันว่า หากต้องเลือกระหว่าง พล.ต.ธรรมนูญ และ พล.ต.สันติพงศ์ แล้ว พล.อ.ประยุทธ์ คงทำใจลำบาก เพราะเป็นน้องรักทั้งคู่

พล.ต.ธรรมนูญ เป็นน้องรักในสายบูรพาพยัคฆ์ ส่วน พล.ต.สันติพงศ์ เป็นน้องรักในสายทหารเสือราชินี ที่ใกล้ชิด

ดังนั้น อะไรก็เกิดขึ้นได้…

หรือในอีกทางเลือกหนึ่ง เพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวาย พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร อาจจะเลือกที่จะไม่ขยับใครขึ้นมาจ่อไว้ในโยกย้ายกลางปี แต่ให้รอโยกย้ายใหญ่กันยายนนี้เลยก็เป็นได้

เพื่อสร้างบรรยากาศของความปรองดอง เพราะการโยกย้ายย่อมทำให้เพื่อนกับเพื่อน และพี่กับน้อง ต้องมาชิงเก้าอี้กันเสมอ

แต่ในยุคปรองดองเช่นนี้ สิ่งดีๆ ก็เกิดขึ้นในกองทัพ โดยเฉพาะใน ทบ. เพราะ บิ๊กเจี๊ยบ พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ. ยึดหลักปรองดอง อยู่ร่วมกันอย่างเป็นหนึ่งเดียว ตามประสา “ไผ่กอเดียวกัน”

โดยมีการเยียวยา ปรองดอง ผลพวงที่เกิดขึ้นในยุคที่ บิ๊กหมู พล.อ.ธีรชัย นาควานิช องคมนตรี เป็น ผบ.ทบ.

ทั้งการไฟเขียวตามที่ บิ๊กอาร์ท พล.ท.ปิยวัฒน์ นาควานิช แม่ทัพภาคที่ 4 เสนอมา ที่ให้ถอนฟ้องดำเนินคดีกับ 3 องค์กรเอกชน ที่เผยแพร่รายงานสถานการณ์การซ้อมทรมานและการละเมิดสิทธิมนุษยชน ของเจ้าหน้าที่รัฐใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตั้งแต่กุมภาพันธ์ 2559 ที่ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ยื่นฟ้องตามคำสั่ง ผบ.ทบ. ในยุคนั้น เพื่อให้ปรองดอง และให้องค์กรเอกชนหันมาทำงานประสานกับทหาร มากกว่าที่จะยืนกันคนละฝั่ง

ที่สำคัญคือ การที่ พล.อ.เฉลิมชัย จะยอมรับตำแหน่งประธานมูลนิธิอุทยานราชภักดิ์ จาก บิ๊กโด่ง พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม ที่นั่งเป็นประธานมูลนิธิอุทยานราชภักดิ์ มาตั้งแต่สร้างอุทยานราชภักดิ์ เมื่อครั้งที่บิ๊กโด่งเป็น ผบ.ทบ.

แต่ตอนที่เกิดปัญหาและถูกตรวจสอบเรื่องการทุจริตนั้น พล.อ.ธีรชัย ซึ่งเป็น ผบ.ทบ. ในเวลานั้น ไม่ยอมที่จะรับมอบการดูแลอุทยานราชภักดิ์ต่อ

ด้วยเพราะในเวลานั้นรู้กันดีว่า เป็นช่วงที่มีความขัดแย้งระหว่าง พล.อ.อุดมเดช และ พล.อ.ธีรชัย ที่แม้จะเป็นเพื่อนเตรียมทหารรุ่น 14 แต่ก็ได้สร้างตำนานรอยร้าวในกองทัพบกอันลือลั่น มาตั้งแต่วันแรกที่ขึ้นเป็น ผบ.ทบ. ต่อจาก พล.อ.อุดมเดช นั่นเอง

พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร

 

มาตอนนี้ พล.อ.เฉลิมชัย ขึ้นมาเป็น ผบ.ทบ. และมีความสัมพันธ์ที่ดีกับ พล.อ.อุดมเดช อีกทั้งเป็นยุคแห่งความปรองดอง จึงมีรายงานว่า พล.อ.เฉลิมชัย จะยอมรับที่จะดูแลอุทยานราชภักดิ์ ต่อจาก พล.อ.อุดมเดช

ทั้งการที่ พล.อ.เฉลิมชัย จะรับตำแหน่งประธานมูลนิธิอุทยานราชภักดิ์ แทน พล.อ.อุดมเดช และจะมีการจัดตั้งคณะกรรมการมูลนิธิ เพื่อมาดูแลเงินบริจาค และการดูแลอุทยานราชภักดิ์ต่ออย่างเต็มตัว

ทั้งนี้เพราะความตั้งใจเดิมของ พล.อ.อุดมเดช นั้น ต้องการให้ ผบ.ทบ. เป็นประธานมูลนิธิอุทยานราชภักดิ์ โดยตำแหน่ง เพราะอุทยานราชภักดิ์สร้างในพื้นที่ของกองทัพบก และยังจำเป็นต้องอาศัย ทบ. ในการช่วยดูแล

แต่ทุกอย่างก็หยุดชะงักมาในช่วงที่มีปัญหาการถูกตรวจสอบ และในยุคของ พล.อ.ธีรชัย เป็น ผบ.ทบ.

ซึ่งก่อนเกษียณราชการ พล.อ.ธีรชัย ยอมรับดูแลแค่อุทยานราชภักดิ์อย่างเดียว แต่ไม่ยอมรับตำแหน่งประธานมูลนิธิ เพราะเห็นว่าสร้างในพื้นที่ ทบ. จึงสั่งการให้ศูนย์การทหารราบ ดูแลอุทยานราชภักดิ์มาตลอด

ถึงขั้นที่ พล.อ.ธีรชัย เคยเชิญ ผบ.หน่วยขึ้นตรงทั่วประเทศ ทั้งระดับแม่ทัพภาค ผู้บัญชาการกองพล ผู้บังคับการกรม จนถึงผู้บังคับกองพัน มาทำพิธีสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์ 7 พระองค์ และช่วยกันบริจาคเงิน เพื่อมาดูแลอุทยานราชภักดิ์ ก่อนที่ พล.อ.ธีรชัย จะเกษียณ

มาวันนี้ พล.อ.เฉลิมชัย เตรียมที่จะรับดูแลทั้งอุทยานราชภักดิ์ และมูลนิธิ เพื่อที่จะได้ดำเนินการก่อสร้างส่วนที่เหลือให้เสร็จสิ้น โดยเฉพาะห้องนิทรรศการประวัติศาสตร์ และพระราชประวัติของแต่ละพระองค์ รวมทั้งในหลวงรัชกาลที่ 9 ด้วย

พล.อ.ธีรชัย นาควานิช

โดยล่าสุด พล.อ.อุดมเดช ในฐานะประธานมูลนิธิ ได้มอบเงิน 80 ล้าน เพื่อให้กองทัพบกเดินหน้าในการก่อสร้างห้องประวัติศาสตร์แล้ว รวมทั้งการมอบทุนการศึกษาให้ลูกหลานเจ้าหน้าที่อุทยานราชภักดิ์

“จากนี้ไป คงจะมีแต่สิ่งดีๆ เกิดขึ้น เพราะอีกไม่นาน ทาง ทบ. พร้อมที่จะรับอุทยานราชภักดิ์ไปดูแล” พล.อ.อุดมเดช กล่าว

เพราะความตั้งใจของ พล.อ.อุดมเดช ที่นอกจากจะรวมใจคนไทยสร้างอุทยานราชภักดิ์ เพื่อแสดงถึงความจงรักภักดี และเป็นสถานที่ท่องเที่ยว เป็นสัญลักษณ์ของหัวหิน แล้ว ยังต้องการให้เป็นที่รวมใจ และที่จัดกิจกรรมต่างๆ ในเชิงสัญลักษณ์ของความจงรักภักดี และงานสำคัญของกองทัพอีกด้วย

พล.อ.อุดมเดช จึงไปกราบสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์ แบบส่วนตัว แบบเงียบๆ เสมอมา อย่างน้อย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็น่าจะมีส่วนที่ทำให้เขาก็ผ่านวิกฤตในชีวิตมาได้

จึงไม่แปลกที่วันนี้ พล.อ.อุดมเดช จะมีรอยยิ้ม หน้าตาสดใส และได้ทำงานเต็มที่ ทั้งในฐานะ รมช.กลาโหม ที่ พล.อ.ประวิตร ไว้วางใจ ให้รับผิดชอบงานสำคัญแทนมากมาย

และในฐานะที่เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนพิเศษของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาภาคใต้ หรือ ครม.ส่วนหน้า ที่ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นคนแต่งตั้ง

บ้านเมืองจะสงบได้ ไม่ใช่แค่อยู่ที่นักการเมืองปรองดองกัน แบบที่ทหารเชิญมานั่งคุย “โต๊ะกลมกลาโหม” แสดงความเห็น และร่างสัญญาประชาคมปรองดอง เท่านั้น

แต่หากทหารปรองดองกันได้ ก็น่าจะเป็นสัญญาณที่ดีต่อการเมืองไทย และเป็นการปรองดองที่แท้จริง…