อุกฤษฏ์ ปัทมานันท์ : จากโคโรนาถึงเทอร์มินอล

อุกฤษฏ์ ปัทมานันท์

เสียใจ…

ในฐานะคนไทยคนหนึ่ง ผมเสียใจครับต่อเหตุการณ์โคโรนาไวรัส หรือโควิด-19 และเหตุการณ์กราดยิงโคราชที่เทอร์มินอล 21

ทว่าช่วงเวลาที่ทอดยาวของเหตุการณ์อันแสนเศร้าทั้งสองเหตุการณ์ดังกล่าว ช่างเป็นช่วงเวลาที่เผยอะไรต่างๆ นานาของสังคมไทยร่วมสมัยให้เราเห็นมากขึ้นเรื่อยๆ ตลอดเวลา

จนกระทั่งผมเห็นสมควรแก่การบันทึกเอาไว้อย่างน้อยเพื่อเป็นประโยชน์แก่ตัวเอง

ต้องขออภัยด้วยหากกระทบท่านอื่นๆ บ้าง

ผมเสียใจ…รัก รักทุกคน

 

โคโรนาไวรัส

ผมไม่ทราบว่าคนไทยท่านอื่นๆ จะรู้สึกอย่างไร แต่ผมกินใจต่อความรู้สึกของท่านผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ท่านระบายความในใจออกมาว่า

…แค่โคโรนาไวรัสก็เหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว นี่ยังมีเทอร์มินอลอีกหรือ…

แล้วโคโรนาไวรัสบอกอะไรแก่เราบ้าง

ในขณะที่คนทั่วไปบ่นดังๆ ว่า “หน้ากากอนามัย” ขึ้นราคา ผู้ใหญ่ของเราท่านหนึ่งบอกว่า “ไม่จริง” ราคาหน้ากากอนามัยราคาเท่าเดิม

ครั้นเมื่อมีคนเถียงท่านว่า ไม่จริง ผู้ใหญ่ท่านนั้นก็เถียงย้อนกลับมาว่า ไม่จริง โดยท่านผู้ใหญ่ยืนยันหลักฐานอันอ้างอิงได้ว่า กระทรวงพาณิชย์ยืนยันมาเอง อย่ามาเถียงให้มากเรื่อง

ครั้นเมื่อมีคนบอกแก่ท่านหลายครั้งว่า “หน้ากาก” ขาดตลาด ผู้ใหญ่ท่านเดิมก็ตอบด้วยคำตอบเดิมๆ ว่า ไม่เป็นความจริง อีกทั้งยังตั้งคำถามย้อนกลับไปอีกคำรบหนึ่งว่า…ก็ถ้าไม่มีของ ทำไมไม่สั่งตรงจากโรงงาน…

น่าประหลาดใจยิ่งนัก ผู้ใหญ่ท่านนั้นยังเป็นมหาเสนาบดีที่เรียกขานในภาษาราชการปัจจุบันว่า หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ แห่งเมืองสารขัณฑ์พันลึก

แต่ท่านเองซึ่งเรียนมาจากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงทั้งภายในประเทศและต่างประเทศมากมาย ท่านกลับไม่รู้กลไกตลาดธรรมดาๆ ที่ระบบตลาดต้องส่งต่อเป็นทอดๆ ไม่ใช่ร้านค้าปลีกจะสั่งตรงจากโรงงานอันขายเป็นล็อตใหญ่ๆ ได้

อย่ากระนั้นเลย ลูกน้องสาวสวยท่านหนึ่งที่ทำงานที่ทำเนียบท่าช้าง ออเดอร์ “หน้ากาก” มาขาย ขอย้ำอีกครั้งหนึ่ง “มาขาย” ปรากฏว่า “หน้ากาก” ราคาแพงกว่าท้องตลาด

เมื่อเถียงชาวบ้านไม่ออก ลูกน้องสาวสวยท่านนั้นก็ตอบด้วยน้ำเสียงอันอ่อนหวานที่แฝงความชาญฉลาดว่า ก็มีค่าขนส่งและต้นทุนการผลิตสูงขึ้นนี่คะป้า แล้วจะให้อีฉันขาย “หน้ากาก” ให้ป้าราคาถูกได้อย่างไร

แล้วสาวน้อยแสนสวยท่านนั้นก็ยื่นมืออันขาวผุดผ่องของเจ้าหล่อนอันแสดงความเป็นผู้เกิดในตระกูลผู้ดีมีสง่าราศีออกมา

พร้อมเปล่งเสียงอันไพเราะของเธอว่า ป้า ป้าจ๊ะ ป้ามีบัตรคนจนไหม หากไม่มีก็ซื้อไม่ได้นะ นี่เป็นนโยบาย รัฐท่านเกรงว่า ป้าซื้อไปแล้วเอาไปทิ้งขว้างจนเกิดมลพิษภาวะโลกร้อน หรือป้าอาจแอบเอาไปขายต่อจนร่ำรวยเลยป้า รัฐท่านฉลาดรู้ทันเสมอมาป้า

อย่าทำให้หนูเดือดร้อนนะป้านะ

นี่แค่เรื่อง “หน้ากาก” เรื่องเดียวก็เป็นสตอรี่ให้ใครต่อใครที่เป็นคนไทยล่วงรู้จักรัฐท่านมากขึ้น

คงจำกันได้ หมอใหญ่ท่านหนึ่งที่ชอบขับเครื่องบินส่วนตัว ท่านด่ากราดพวกฝรั่งที่ไม่รับ “หน้ากาก” แล้วไล่ฝรั่งออกนอกประเทศมาแล้ว ด้วยเหตุว่า ฝรั่งพวกนั้นเป็นพวกบ่อนทำลายความมั่นคงของชาติ ทำตัวเหมือนพวกพาหะโรคโคโรนาไวรัสไม่ยอมสวม “หน้ากาก”

หมอใหญ่ท่านนั้นคงเชื่อในทฤษฎีคอนไปราซี่ เทวลี่ หรือทฤษฎีสมคบคิดว่า ฝรั่งเป็นสมาชิกของขบวนการก่อการร้ายข้ามชาติที่กำลังทำลายชาติอันเป็นที่รักของท่านหมอใหญ่โดยใช้เทคโนโลยีชีวภาพ เพื่อล้างชาติของท่านหมอใหญ่

ลูกน้องท่านผู้ใหญ่อีกท่านเป็นถึงมหาเสนาบดีด้านการค้า ท่านก็ “แจก” ครับ “แจก” หน้ากากแก่ชาวบ้านทั่วไป แต่ด้วยความเป็นเสนาบดีผู้ช่ำชอง ท่านเสนาบดีแจกของสักทีต้องรอฤกษ์ยาม ขอโทษครับ ผิดครับ ต้องรอสื่อมวลชนมาทำข่าว

ทำนองว่า กล้องไม่มา ทำงานไม่เป็นครับท่าน

เสียใจ…

 

เทอร์มินอล 21

เหตุเกิดที่เมืองโคราชตั้งแต่บ่ายของวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2563 เวลาผ่านไปเกือบ 6 ชั่วโมง ปภ. ตม. มท. จว. สสน. จร. และตัวย่อของหน่วยงานของรัฐท่านยังมีตัวเลขผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บไม่ตรงกันเลย ที่รู้แน่ชัดคือ มีผู้ก่อการเพียง 1 คน อายุ 32 ปี เป็นข้าราชการชั้นผู้น้อย และ “คลั่ง” อันหลังนี้รัฐท่านย่ำเสมอและค่อยๆ ทำสตอรี่เพราะช่วยอธิบายการกระทำและที่จะกระทำอย่างชอบธรรมง่ายขึ้นต่อรัฐท่าน

ข้าราชการชั้นผู้น้อยนั้นเข้าไปปล้นอาวุธของราชการท่าน แต่ด้วยความรู้จักมักคุ้นกันเป็นอย่างดีกับพลทหารท่านนั้น ข้าราชการชั้นผู้น้อยเลยสังหารพลทหารนั้นโดยง่ายดาย อันนี้ผู้ใหญ่ท่านเดิมที่กำลังดีลกับโคโรนาไวรัสบอกต่อสาธารณะครับ

ด้วยอาวุธครบมือ ข้าราชการชั้นผู้น้อยชาวชัยภูมิก็ยึดห้างที่เป็นชัยภูมิได้เป็นเวลานานกว่า 17 ชั่วโมงอันเป็นช่วงเวลาที่ประชาคมโลกและพี่น้องร่วมชาติของข้าพเจ้าได้มองเห็นธาตุและจิตใจขององคาพยพข้ารัฐการทั้งหลายต่อ “ชาติคนเดียว” ทำให้เราต้องย้อนกลับไปดูว่า นับตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 19 ขุนศึกท่านทำอะไรบ้าง

มีสงครามรุกรานชาติบ้านเมืองเราจนเป็นเหตุให้ขุนศึกออกสนามรบหรือไม่

มีสงครามนอกราชอาณาจักรที่ขุนศึกต้องแสดงวิทยายุทธ์เอาชนะข้าศึกหรือไม่

มีสงครามภายในที่เหล่าขุนศึกผู้กล้าต่อกรด้วย ได้แก่ การปราบคอมมิวนิสต์ การป้องกันชายแดนด้านทิศตะวันออกเพื่อต่อต้านอริราชศัตรูจากอาณานิคมฝรั่ง

บทบาทของขุนศึกต่อความขัดแย้งภายในจากเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516, 6 ตุลาคม 2519 เหตุการณ์พฤษภาคม 2535 เหตุการณ์ความไม่สงบสามจังหวัดชายแดน 2547 โศกนาฏกรรมตากใบ สงครามตัวแทนติดอาวุธ สี่แยกคอกวัว และแดงเดือด 2551-2553

อาจกล่าวได้ว่า ขุนศึกเชี่ยวชาญการเมืองภายในแห่งอำนาจและสะทกสท้านต่อฝ่ายติดอาวุธเรื่อยมา

ชำนาญงานมวลชน สลายม็อบที่ปราศจากอาวุธอยู่เป็นอาจิณ จึงไม่ค่อยได้เอ็กเซอร์ไซส์ นอกจากรัฐประหารต่อพลเรือนผู้ปราศจากอาวุธ

เทอร์มินอล 21 ก็บอกต่อสาธารณะเช่นนั้น

ขอแสดงความเสียใจต่อทหารกล้าที่เสียชีวิต และตำรวจกล้าที่จากพวกเราไป

คำถามคือ ขุนศึกท่านอยู่ตรงไหนของสถานการณ์ความรุนแรงด้วยอาวุธ

ขอสดุดีพี่ๆ ยามผู้กล้าหาญ ผมไม่เชื่อวลีเอายามมาเป็นนายกฯ อีกแล้ว พี่ๆ กล้าและทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและมีคุณค่าเกินคำป้อยอใดๆ

ต้องแยกงานในเมืองปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจ ให้ถามตำรวจ (กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ซึ่งเคร่งเครียดอยู่ตลอดเวลา) นี่เป็นเพียงบางส่วนของคำกล่าวของขุนศึก

อย่าไปขุดคุ้ยเรื่องเอาที่ดินของรัฐท่านไปทำมาหากินกันร่ำรวย ยิ่งขุดก็ยิ่งเจอนายทหารต่างจังหวัดที่ท่านมีอาชีพดีๆ เสมอมาเพราะท่านไม่ได้ทำให้หน้าที่การงานทางทหารเสียหาย วินวินด้วยกันทุกฝ่าย

ไม่เชื่อลองถามนายท่านที่กระทรวงในกรุงเทพฯ ดู วุฒิสมาชิกเอย เป็นสุดยอดปรารถนามาทุกยุคทุกสมัย

ถ้าไม่ได้ก็เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีรัฐมนโท เอาลูกๆ หลานๆ มาเป็นด้วยก็ดีนะ เงินเดือนดีงานน้อย

เป็นกรรมาธิการควบหลายชุดก็ย่อมได้ไม่ว่ากัน คนกันเองทั้งนั้น ถ้าไม่ได้ก็เป็นกรรมการบอร์ดรัฐวิสาหกิจต่างๆ ให้แม่บ้านเป็นกรรมการบริษัทเอกชนที่ซี้ๆ กันก็ดีนะครับท่าน มีนายพลบ้านเราที่จนนับท่านได้เลย นอกนั้นท่านอู้ฟู่กันทั้งนั้น

นี่ไม่ใช่วิสามัญฆาตกรรม นี่เป็นเรื่องส่วนตัว ผมรักทุกคนและห่วงใยทุกคน รัก รัก รักทุกคน รักโคโรนา (ขอโทษครับจำบทผิดครับ)

เสียใจ…