มนัส สัตยารักษ์ | กราดยิงที่โคราช

ในคืนที่สถานการณ์กราดยิงที่ห้างเทอร์มินัล 21 โคราชกำลังเดือดพล่าน นักเขียนท่านหนึ่งรำพึงในเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า ภรรยาของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา จะนอนหลับลงไหม ในเมื่อในขณะเวลานั้น ทั้งสามีและบุตรชาย (ร.ต.อ.ชานันท์ ชัยจินดา) ต่างกำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่กลางสถานการณ์นั้น!

ผู้มีครอบครัวอันเป็นที่รักต่างก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน คนในครอบครัวตำรวจก็คิดเช่นนี้ คิดพลุกพล่านฟุ้งซ่านไปกลางเสียงเบลมว่าตำรวจไม่พร้อมหรือไม่มีประสิทธิภาพพอ

สถานการณ์กราดยิง (mass shooting) เช่นนี้ แม้จะเกิดขึ้นโดยไม่มีใครคาดคิดมาก่อน แต่ทั้งตำรวจและทหารที่ได้รับการฝึกมาเป็นอย่างดี ย่อมแห่กันไประงับเหตุและคลี่คลายสถานการณ์โดยเร็วเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้ประชาชนปลอดภัยและบ้านเมืองกลับคืนสู่ความสงบ เราจึงเห็นว่าทั้ง ผบ.ทบ. และ ผบ.ตร.ไปยังที่เกิดเหตุ

เป็นหน้าที่ของตำรวจเพราะเป็น “อาชญากรรม” ไม่ใช่การก่อการร้าย แม้ว่าอาชญากรจะเป็นทหารที่มีขีดความสามารถระดับหนึ่ง ทั้งยังมีอาวุธสงครามทรงประสิทธิภาพร้ายแรงก็ตาม

คนร้ายเป็นอาชญากรฆ่าประชาชนและฆ่าตำรวจที่สกัดกั้นตรงทางเข้าวัดแห่งหนึ่ง ต่อมาเข้ามาที่ห้างสรรพสินค้าเทอร์มินัล 21 ใช้ประชาชนเป็นตัวประกัน ฆ่าประชาชนอีกหลายคน และฆ่าตำรวจอรินทราช 26 ที่เข้าขัดขวางเสียชีวิตอีก 2 นาย

เนื่องจากกำลังตำรวจที่จะเป็นแนวหน้าในพื้นที่เกิดเหตุมีหลายหน่วย

นับตั้งแต่หน่วยปฏิบัติการพิเศษของตำรวจท้องที่, หน่วยอรินทราช 26 จาก บช.น., คอมมานโด “หนุมาน” จากกองปราบปราม, ชุดปฏิบัติการพิเศษ 261 จาก บก.สนับสนุนทางอากาศ บช.ตชด.

เพื่อป้องกันการสับสนในการบังคับบัญชาและสั่งการ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ซึ่งเป็น ผบ.ตร. เท่ากับเป็นหัวหน้าของทุกหน่วย จึงเป็นหมายเลข 1 ในปฏิบัติการครั้งนี้

ผมชื่นชมและเห็นด้วยกับปฏิบัติการวิสามัญฆาตกรรมครั้งนี้ ที่ดำเนินการไปภายใต้การนำของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ด้วยเหตุผลสำคัญอย่างน้อย 2 ประการ

ประการแรก ความเป็นตำรวจถูกสอนให้ตระหนักถึง “ความชอบธรรม” ของการวิสามัญฯ กล่าวคือ ต้องอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ตรงประเด็นนี้เราจะเห็นได้ว่าคนร้ายรายนี้เสียสติหรือสติแตก ตำรวจให้มารดาของคนร้ายพูดไกล่เกลี่ยก็ไม่ได้ผล คนร้ายฆ่าทุกคนที่เห็นอย่างเหี้ยมโหดโดยไม่เลือกไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ ทุกคนเหมือนเป็นตัวประกันที่คนร้ายพร้อมจะฆ่า

ตำรวจถูกสอนให้คำนึงถึงความสงบสุขของประชาชน ถูกสอนให้แบกรับความทุกข์ของประชาชน ยอมเสียสละ กลายเป็น “คนฆ่าคน” แม้ในวันมาฆบูชา

ตำรวจทุกคนรู้ดีว่าหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจ ตำรวจต้องมีเหตุผลเพียงพอที่จะพิสูจน์ให้รอดพ้นจากความผิดฐานฆ่าผู้อื่น

ประสบการณ์จากการเป็นตำรวจของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ช่วยให้ตำรวจที่ร่วมปฏิบัติการมั่นใจได้ว่าไม่ต้องไปเป็นฮีโร่ในเรือนจำ!

เหตุผลอีกประการหนึ่งที่ผมเห็นด้วยกับปฏิบัติการครั้งนี้ เพราะ พล.ต.อ.จักรทิพย์ได้ผ่านหลักสูตร ร.ร.นรต. หลักสูตร FBI หลักสูตรต่อต้านการก่อการร้าย นเรศวร 261 และอรินทราช 26 เป็น “ขาลุย” ที่มีประวัติผ่านมาหลายเหตุการณ์

ดูจากการแต่งกายจะเห็นได้ว่าพร้อมจะลุยในทุกเหตุการณ์

นอกจากนี้ ยังมีบุตรชายคนโต ร.ต.อ.ชานันท์มาร่วมปฏิบัติการครั้งนี้ด้วย มาพร้อมประสบการณ์การฝึกที่หนักกว่าพ่อ จากหลักสูตรต่างๆ ของสหรัฐ ออสเตรเลีย ฝรั่งเศส อิสราเอล ฯลฯ

ไม่เพียงแต่ช่วยให้ตำรวจที่ร่วมปฏิบัติการรู้สึกมั่นใจเท่านั้น แต่ยังทำให้ ดร.บุษบา ชัยจินดา อุ่นใจเพิ่มขึ้นด้วย

ยิงกราดที่โคราชครั้งนี้มีผู้เสียชีวิตถึง 30 ราย (รวมทั้งคนร้าย) บาดเจ็บอีก 58 คน นับเป็นความสูญเสียที่กระทบกระเทือนจิตใจคนไทยทั้งประเทศ เป็นเรื่องที่ต้องเยียวยาผู้สูญเสีย พร้อมกันไปกับข้อเสนอในการปรับปรุงส่วนที่ทำให้เกิดเหตุร้ายขึ้น

ดร.ปณิธาน วัฒนายากร ประธานที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า “กองทัพต้องกลับไปประมวลและปรับปรุงการเก็บอาวุธ ระบบขั้นตอนการเข้าถึงให้รัดกุม รวมถึงควบคุมยุทโธปกรณ์หนักไม่ให้อยู่ในพื้นที่ที่เข้าถึงง่าย”

ผมพบเพจหนึ่งกล่าวถึงกองทัพบกว่า “บิ๊กแดงจัดหนัก ล้างบางระบบเอื้อประโยชน์ ขู่ย้าย ผบ.หน่วย หากไม่ใส่ใจลูกน้อง”

แสดงว่า พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ รู้ดีและรู้ลึกกว่า ดร.ปณิธาณ ว่าปมปัญหาอยู่ตรงจุดไหน

พูดถึง ผบ.หน่วยต้องเอาใจใส่ลูกน้อง ตำรวจน่าจะเป็นมาตรฐานกว่าทหาร มีคำสั่งเป็นลายลักษณ์อักษรมาแต่โบราณ แก้ไขเพิ่มเติมมาตามลำดับ จนปี 2537 ออกเป็นคำสั่งที่ 1212/2537 เป็นรูปธรรมถึงการควบคุม ผบ.หน่วยให้ดูแลเอาใจใส่ผู้ใต้บังคับบัญชา ล่าสุดตั้งกรรมการพิจารณาโทษ ผบ.หน่วย กรณีที่ตำรวจใต้บังคับบัญชาฆ่าตัวตาย

อย่างไรก็ตาม ประเด็นนี้เราก็ไม่ควรไปตั้งความหวังอะไรมากมายจาก ผบ.ทบ. ผู้มีทัศนคติว่า การหยุดรถตรงทางม้าลายเป็นการเสียสละของทหาร!

เป็นเรื่องปกติของประเทศไทย หลังจากเสียงปืนยุติ เสียงวิวาทะและเสียงเปิดปมเบื้องหลัง เสียงถามหาความรับผิดชอบ ภาพและเสียงกระแหนะกระแหนจากสื่อโซเชียล ฯลฯ ก็ดังระงมขึ้นมาทันที

ทุกฝ่ายพยายามโยงเข้าไปหา “การเมือง” เพื่อทิ่มตำฝ่ายตรงกันข้าม ผมพยายามพลิกผ่านไปอย่างไม่สนใจ แต่ก็แคปชั่นไว้ 2 ภาพ…

ภาพแรกเป็นภาพ ผบ.ตร.ยกมือโบกพร้อมชู 2 นิ้วส่งสัญญาณในระหว่างปฏิบัติการ มีคำบรรยายเหนือภาพว่า “กลายเป็นดราม่าเมื่อมีการเผยแพร่ภาพ โดยมีปลัดท่านหนึ่งได้โพสต์ข้อความเหน็บแนมว่า ถ่ายรูปเต๊ะท่าเพื่ออะไร สุดยอดอะไร ถ้าจะให้สุดยอดมันต้องนำกำลังบุกไปจัดการตั้งนานแล้ว ไม่ยืดเยื้อนานขนาดนี้”

พลิกสื่อโซเชียลไปเรื่อยๆ ก็ทำใจได้ เพราะปรากฏว่าปลัดคนนี้เป็น “เจ้าประจำ” ที่คอยเหน็บแนมตำรวจ (คล้ายๆ กับนักวิชการคนหนึ่ง) และก็มีคอมเมนต์ด่าปลัดจอมเหน็บคนนี้กันยับเยิน

อีกภาพหนึ่งเป็นภาพลุงตู่ชูมือทำ “มินิฮาร์ต” เมื่อเดินทางไปถึงโคราชหลังเหตุร้ายยุติเรียบร้อยแล้ว ใต้ภาพบรรยายว่า “ลุงทำมินิฮาร์ตเพื่อส่งกำลังใจ”

โซเชียลด่าลุงกันขรม ทำนองว่าผิดกาลเทศะ กล่าวปราศรัยแบบหาเสียงทางการเมือง อับอายต่างประเทศ ฯลฯ

ตรงภาพนี้ผมทำใจไม่ค่อยได้ ทั้งที่ลุงทำผิดกาลเทศะเป็นประจำเหมือนกัน เพราะลุงเป็นนายกรัฐมนตรี!!