บทความพิเศษ/นงนุช สิงหเดชะ / กรณีนายพล ‘พงศกร รอดชมภู’ อนค.เหยียบหัวแม่เท้าตัวเอง

บทความพิเศษ/นงนุช สิงหเดชะ

กรณีนายพล ‘พงศกร รอดชมภู’

อนค.เหยียบหัวแม่เท้าตัวเอง

 

เป็นนายทหารที่ทำให้พรรคอนาคตใหม่กลายเป็น “ตำบลกระสุนตก” ทั้งตอนต้นและตอนปิดท้าย สำหรับ พล.ท.พงศกร รอดชมภู ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคพรรคอนาคตใหม่ (อนค.)

เพราะเมื่อแรกตั้งพรรคได้ประมาณครึ่งปี ก็สร้างเสียงถล่มยับรอบทิศจากโพสต์ลือลั่น “มาที่ตึกธนาคารกรุงไทยสำนักงานใหญ่ สุขุมวิท ดูสภาพมนุษย์เงินเดือนรอบๆ มาทานอาหารช่วงพักเที่ยง ผมเรียกว่าไพร่สมัยใหม่ เราไม่ควรส่งลูกหลานเรียนเพื่อมามีสภาพเช่นนี้ครับ”

พลันที่โพสต์นี้แพร่ออกไป ถูกกระแสตีกลับหนักหน่วงด้วยข้อหาดูถูกมนุษย์เงินเดือนว่าเป็น “ไพร่สมัยใหม่”

จนในที่สุด พล.ท.พงศกรต้องออกมาขอโทษและอ้างว่าที่โพสต์ไปนั้นไม่ได้มีเจตนาดูถูกหรือบอกว่าเมื่อเรียนจบแล้วไม่ควรมาทำงานเป็นพนักงานบริษัทหรือข้าราชการ เพราะถึงอย่างไรอาชีพนี้ก็ยังต้องมีอยู่ พร้อมกับอ้างว่าต้องการให้คนไทยมีทักษะเป็นผู้ประกอบการมากกว่าจะมาแย่งกันทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือน

บางที พล.ท.พงศกรคงลืมไปว่าตัวเองก็หาเลี้ยงชีพด้วยการเป็นมนุษย์เงินเดือนคืออาชีพราชการด้วยเช่นกัน

และก็รู้ว่าไม่ได้เลวร้าย เพราะอย่างน้อยก็ได้เป็นถึง พล.ท. มีบำนาญกินเดือนละตั้ง 7 หมื่นบาทไปตลอดชีวิต

แถมมีสวัสดิการทหารมากมาย มีบ้านพักฟรี

 

อย่างที่ทราบกัน พล.ท.พงศกรถูกจัดวางให้เป็นคีย์แมนของ อนค.ในการปฏิรูปกองทัพ อันเป็นจุดขายสำคัญของพรรคนี้ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าน่าจะเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้พรรคนี้ได้รับเลือกตั้งเข้ามาเกินคาดหมายในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2562

แผนปฏิรูปกองทัพของ อนค. หลักๆ ก็คือลดกำลังพล ลดจำนวนนายพล (จาก 1,600 เหลือ 400) ยกเลิกเกณฑ์ทหารและลดงบประมาณกลาโหม ซึ่งประเด็นลดจำนวนนายพลนี้ พล.ท.พงศกรพูดหลายครั้งว่ามีมากเกินไป

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนความคิดหรือความกล้าที่จะปฏิรูปกองทัพของ พล.ท.พงศกรนั้นเกิดขึ้นหลังจากที่ตัวเองเกษียณราชการแล้ว หากปฏิรูปหรือตัดสิทธิประโยชน์ของทหารไปตอนนี้ รวมถึงการลดตำแหน่งนายพล ตัวเองก็จะไม่ได้รับผลกระทบอะไร

เพราะหลังจากนี้ยังได้เป็นนายพลอยู่ และได้รับบำนาญนายพลไปจนตาย

 

ล่าสุดประเด็นที่ทำให้ พล.ท.พงศกรตกม้าตาย และทำให้พรรคอนาคตใหม่ต้องเหยียบหัวแม่เท้าตัวเองและขายหน้าอย่างจัง ก็คือกรณีที่หัวหน้าพรรคนี้ฉวยเอาสถานการณ์ที่จ่าสิบเอกสังกัดกองทัพภาคที่ 2 ก่อเหตุกราดยิงคนที่โคราชและห้างเทอร์มินอล 21 จนมีผู้เสียชีวิตไป 30 ราย มาไล่ขย่มกองทัพให้เปิดเผยรายชื่อนายทหารเกษียณราชการแต่ยังอาศัยอยู่ในบ้านพักหลวง เพราะประเด็นธุรกิจบ้านพักทหารคือสาเหตุที่ทำให้จ่าสิบเอกรายดังกล่าวคลั่งเพราะถูกผู้บังคับบัญชาและแม่ยายผู้บังคับบัญชาโกงและเอาเปรียบ

หลังจากนั้นก็มีผู้นำรายชื่อทหารเกษียณแล้วแต่ยังอยู่บ้านพักหลวงออกมาแฉทางโซเชียลมีเดียตามคำขอของหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่

โดยว่ากันว่าผู้นำมาแฉก็คือแฟนคลับของพรรคอนาคตใหม่นั่นเอง

แต่อาจเป็นเพราะลืมตรวจดูว่ามีชื่อของ พล.ท.พงศกรอยู่ด้วย หรือไม่ก็เป็นเพราะไม่รู้ว่า พล.ท.พงศกรเป็นใคร เนื่องจากไม่ดังเท่ากับชื่อ 3 แกนนำของพรรค เลยทำให้ “ความแตก” ว่าที่แท้แล้วนายทหารที่เป็นหัวหอกในการปฏิรูปกองทัพของพรรคนี้ คือหนึ่งในนายทหารเกษียณราชการ แต่ยังอาศัยอยู่บ้านพักหลวง

ไม่ได้อาศัยอยู่แค่ปีเดียวหรือสองปี แต่อยู่มาแล้ว 4 ปี (เกษียณตั้งแต่ปี 2559) เพราะเจ้าตัวได้ทำเรื่องขอผ่อนผันอยู่ต่อเรื่อยๆ ซึ่งได้รับอนุมัติปีต่อปี

หลังจากถูกรุมตำหนิอย่างหนัก ทำให้ในที่สุด พล.ท.พงศกรต้องประกาศลาออกจากรองหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรค พร้อมกับจะย้ายออกจากบ้านพักหลวงภายในเดือนมีนาคมนี้

 

แต่คำถามคือ หากไม่ถูกจับได้ พล.ท.พงศกรจะย้ายออกจากบ้านพักหลวงหรือไม่

เพราะในขณะที่ตัวเองเป็นหัวหอกในการปฏิรูปกองทัพ โดยหนึ่งในนั้นคือเรียกร้องลดงบฯ กลาโหม รวมทั้งยังเป็นประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐฯ สภาผู้แทนราษฎรอยู่ด้วย ซึ่งมักมีการเชิญทหารไปชี้แจงเรื่องนั้นเรื่องนี้บ่อยๆ เพื่อตรวจสอบทหาร แต่ตัวเองก็ยังไม่ปฏิรูปตัวเองให้เป็นตัวอย่าง

ส่วนหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่รวมทั้งโฆษกพรรคนี้ คงเกิดอาการจุกอย่างจัง ทำอะไรไม่ถูก นอกจากต้องออกมาขอโทษสังคม

ภายหลัง พล.ท.พงศกรลาออกแล้ว หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ชี้แจงเพิ่มเติมถึงที่มาที่ไปของการเชิญ พล.ท.พงศกรมาร่วมงานในพรรคว่า เป็นเพราะเห็นว่าเป็นนายทหารที่มีหัวก้าวหน้า รักความเป็นธรรมและรักประชาธิปไตย พร้อมกับยืนยันว่าจะยังให้ พล.ท.พงศกรเป็นกำลังสำคัญในการปฏิรูปกองทัพ

คำถามคือ หลังจากนี้ พล.ท.พงศกรยังจะกล้านั่งเป็นประธาน กมธ.ความมั่นคงฯ (ไม่ว่าพรรคอนาคตใหม่จะถูกยุบหรือไม่) ซึ่งทำหน้าที่ตรวจสอบทหารหรือไม่ จะสง่างามหรือไม่

 

กรณีของ พล.ท.พงศกรที่เกิดความกล้าอยากจะปฏิรูปกองทัพ หลังจากตัวเองเกษียณแล้ว ก็คงไม่ต่างจากหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ที่เคยออกแคมเปญ “อยู่ไม่เป็น” ซึ่งมีความหมายว่าจะไม่ยอมจำนนต่อผู้มีอำนาจ ไม่จำนนต่อความไม่ถูกต้อง และพูดหลายครั้งว่าตัวเองไม่จำเป็นต้องเอาใจผู้มีอำนาจ เพราะว่าไม่เคยเป็นคู่สัญญากับรัฐ ไม่เคยรวยจากภาษีประชาชน แต่รวยจากการสร้างเทคโนโลยีที่ทำให้มีการจ้างงานกว่า 20,000 อัตรา

จนทำให้หลายคนออกมาตอบโต้ว่า กิจการครอบครัวของหัวหน้าพรรคนี้ ไม่เคยเป็นคู่สัญญากับรัฐก็จริง เน้นการส่งออกก็จริง

แต่ก็ได้ประโยชน์จากประเทศไทยและภาษีคนไทยทางอ้อมเหมือนกัน

ทั้งการใช้แผ่นดินไทย (ซึ่งก็คือ facility ในการทำมาหากิน) รวมทั้งใช้สาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐานของไทย (เช่น ถนน สะพาน ที่สร้างจากภาษีคนไทย)

ไหนจะได้รับสิทธิประโยชน์ต่างๆ รวมทั้งสิทธิประโยชน์ทางภาษีจากบีโอไออีก

หรืออย่างตอนรัฐบาลยิ่งลักษณ์ออกโครงการรถยนต์คันแรก (ผู้ซื้อจะได้ภาษีคืนคันละ 4 หมื่นถึง 1 แสนบาท) กิจการครอบครัวของหัวหน้า อนค.ก็ได้ประโยชน์อื้อ

ความกล้าของ พล.ท.พงศกรที่จะปฏิรูปกองทัพ กับความกล้าของหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ที่จะชนผู้มีอำนาจ จะเปลี่ยนแปลงประเทศ ก็มีลักษณะคล้ายกัน คือคนแรกนั้นอาจจะกล้า หลังจากเห็นแล้วว่าการปฏิรูปกองทัพไม่ทำให้ตัวเองเสียประโยชน์หรือได้รับผลกระทบ เพราะว่าเกษียณไปแล้ว

ส่วนหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ก็กล้าที่จะ “อยู่ไม่เป็น” หลังจากกิจการครอบครัวร่ำรวยระดับหลายหมื่นล้านบาทแล้ว ซึ่งอาจแสดงว่าการที่ร่ำรวยหลายหมื่นล้านบาท เป็นเพราะก่อนหน้านั้นเคย “อยู่เป็น” มาก่อน

จึงน่าสงสัยว่าความกล้าดังกล่าวเป็น “ความกล้าที่ยั่งยืน” หรือไม่