ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 21 - 27 กุมภาพันธ์ 2563 |
---|---|
คอลัมน์ | หน้า8 |
เผยแพร่ |
ถ้าเป็นยุคก่อนที่พี่ๆ ยังมีอำนาจในกองทัพบก
“บิ๊กแดง” พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ คงถูกสั่งซ่อมเช้า-เย็นไปแล้ว
เพราะการเปิดประเด็นเรื่องการคืนบ้านพักของนายทหารที่เกษียณแล้วได้สร้างความเดือดร้อนกับพี่ๆ “บูรพาพยัคฆ์”
เพราะแต่ละคนยึดครองบ้านพักในค่ายทหารมายาวนาน
“บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอดตัวไปเพราะย้ายบ้านออกมานานแล้ว แต่ยังรักษา “บ้านเก่า” ไว้เป็นมูลนิธิป่ารอยต่อ 5 จังหวัดฯ
เป็นมูลนิธิที่นักการเมืองคุ้นเคยมากตอนที่ก่อตั้งพรรคพลังประชารัฐ
ส่วน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา หนักหน่อย เพราะยึดครองบ้านพักประจำตำแหน่งสมัยเป็นผู้บัญชาการทหารบกมาตั้งแต่เกษียณอายุปี 2553
ถึงวันนี้ก็ 10 ปีพอดี
เช่นเดียวกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ยังอยู่บ้านเก่าหลังเดิมในค่ายทหาร
“บิ๊กตู่” เกษียณอายุปี 2557
ถึงวันนี้ 6 ปีแล้วที่ยังไม่ยอมย้ายไปอยู่บ้านตัวเอง
ประโยคหนึ่งของ พล.อ.อภิรัชต์ที่เสียดแทงใจดำ “นายทหารรุ่นพี่”
“ทหารมีบ้านพักให้อยู่ฟรี รับราชการ 20-30 ปีไม่ต้องจ่ายค่าเช่าบ้าน เพื่อให้มีเวลาเก็บเงินไปซื้อบ้านหลังเกษียณอายุ”
เมื่อเปิดดูบัญชีทรัพย์สินของ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.อนุพงษ์แล้วยิ่งตกใจ
พล.อ.ประยุทธ์และภรรยามีเงินสดและทรัพย์สิน 128 ล้านบาท
ส่วน พล.อ.อนุพงษ์และภรรยา 37 ล้านบาท
คนทำงานเงินเดือน 20,000-30,000 บาท ก็ยังดิ้นรนซื้อบ้านของตัวเองแล้ว
ผ่อนเท่าไรก็ยอมจ่าย
แต่ พล.อ.ประยุทธ์มีเงิน 128 ล้านบาท
พล.อ.อนุพงษ์ 37 ล้านบาท
กลับอยู่บ้านหลวงฟรี
…อิหยังวะ
เหตุผลที่ทั้งคู่ยังไม่ยอมย้ายออกจากค่ายทหารทั้งที่เกษียณอายุแล้วก็เสียดแทงหัวใจชาวบ้านที่หาเช้ากินค่ำอย่างยิ่ง
“บิ๊กป๊อก” บอกว่าอยู่เพราะสะดวก
“ตอนทำงานเดินทางไม่ไหวเพราะไกล”
คนนั่งรถเมล์มาทำงานฟังแล้วน้ำตาไหล
สงสารท่านรัฐมนตรีที่นั่งรถเบนซ์ส่วนตัวแถมมีรถตำรวจนำ แต่บอกว่าเดินทางเหนื่อย
ส่วน “บิ๊กตู่” อ้างว่าเป็นนายกรัฐมนตรี มีปัญหาเรื่องการรักษาความปลอดภัย
ดังนั้น ต้องอยู่ในค่ายทหาร
นึกถึง “นายกรัฐมนตรีพลเรือน” ในอดีตทั้งหลาย
“ชวน หลีกภัย” ก็อยู่บ้านเช่าเล็กๆ ที่ซอยหมอเหล็ง
“อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ก็อยู่บ้านส่วนตัว
ขนาดนายกฯ ที่เป็นสุภาพสตรีอย่าง “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ก็ยังอยู่บ้านส่วนตัว
แต่นายกรัฐมนตรีที่เป็นชายชาติทหารกลับต้องอยู่ในค่ายทหาร
เพราะกลัวเรื่อง “ความปลอดภัย”
เป็นตรรกะที่ “มะล่องก่องแก่ง” จริงๆ