ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 21 - 27 กุมภาพันธ์ 2563 |
---|---|
คอลัมน์ | ต่างประเทศ |
เผยแพร่ |
อิดลิบ เป็นเมืองเอกของเขตปกครองอิดลิบ ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศซีเรีย และเป็นศูนย์กลางเกษตรกรรมของประเทศที่ยังมีความสำคัญทางด้านประวัติศาสตร์
แต่ตอนนี้อิดลิบกำลังตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะเผชิญหายนะด้านมนุษยธรรมครั้งเลวร้ายที่สุดแห่งศตวรรษที่ 21
ที่อาจเทียบได้เท่ากับหายนะเลวร้ายของสงครามโลกครั้งที่ 2 หลังจากที่ซีเรียต้องจมอยู่ในสงครามกลางเมืองมานานถึง 9 ปีแล้ว และยังไม่มีทีท่าว่าจะหลุดพ้น
การประเมินสถานการณ์เลวร้ายนี้ของเมืองอิดลิบ มาจากมาร์ก โลว์ค็อก หัวหน้าผู้ประสานงานด้านมนุษยธรรมและการบรรเทาภัยพิบัติขององค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ที่ให้ข้อมูลอัพเดตสถานการณ์ล่าสุดในอิดลิบเมื่อเร็วๆ นี้ว่า มีพลเรือนในเมืองอิดลิบต้องกลายเป็นผู้พลัดถิ่นฐานจากบ้านเรือนถิ่นทำกินของตนเองไปแล้วถึงกว่า 900,000 คน
หลังจากกองกำลังรัฐบาลซีเรียที่มีรัสเซียให้การสนับสนุนอยู่ ได้เริ่มปฏิบัติการโจมตีกองกำลังติดอาวุธต่อต้านรัฐบาลในเมืองอิดลิบอีกครั้งเมื่อเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมา
หลังข้อตกลงหยุดยิงและกำหนดเขตกันชนปลอดทหารที่มีการตกลงกันไว้ ไม่มีฝ่ายใดปฏิบัติตามอย่างจริงจัง
โลว์ค็อกยังบรรยายให้เห็นภาพการเผชิญชะตากรรมอันเลวร้ายของชาวบ้านในพื้นที่สู้รบในเมืองอิดลิบที่สุดแสนหดหู่
เช่น ภาพของผู้หญิงและเด็กน้อยตาดำๆ จำนวนมากที่ต่างอยู่ในสภาพบอบช้ำทางจิตใจ ต้องอาศัยนอนอยู่นอกแคมป์ที่พักพิงชั่วคราวท่ามกลางสภาพอากาศอันหนาวเหน็บ
เหตุเพราะแคมป์ที่พักเหล่านั้นอัดเต็มแน่นไปด้วยผู้คนที่หนีภัยสงครามมาเช่นกัน
โดยคนเป็นแม่ต้องเก็บหากิ่งไม้ หญ้าแห้งหรือพลาสติกมาจุดไฟเผาเพื่อให้ความอบอุ่นกับลูกๆ ของตนเอง มิพักต้องพูดถึงการหาเลี้ยงปากท้อง
โลว์ค็อกยังอ้างรายงานที่ได้รับมาว่า ปฏิบัติการโจมตีของกองทัพซีเรียร่วมกับชาติพันธมิตรต่อเป้าหมายกองกำลังติดอาวุธในเมืองอิดลิบ ยังเป็นการโจมตีแบบไม่เลือกหน้า ไม่เว้นแม้แต่โรงเรียน ระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน หน่วยงานสาธารณสุข มัสยิด และสถานที่ชุมชน เช่น ตลาดร้านค้า ที่เต็มไปด้วยประชาชนผู้บริสุทธิ์ รวมไปถึงที่พักพิงของผู้หนีภัยสู้รบซึ่งถูกโจมตีด้วยจนทำให้มีพลเรือนบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก
โดยหัวหน้าผู้ประสานด้านมนุษยธรรมฯ ของยูเอ็นชี้ว่า สถานการณ์ด้านมนุษยธรรมในเมืองอิดลิบในขณะนี้กำลังอยู่ในระดับที่น่าหวั่นกลัว
แต่ดูเหมือนเสียงร้องเตือนนี้ยังไม่ได้มีผลทำให้กองทัพซีเรียเพลามือลงในปฏิบัติการโจมตีเพื่อยึดคืนเมืองอิดลิบกลับมาจากกองกำลังกบฏและกลุ่มติดอาวุธต่อต้านรัฐบาลแต่อย่างใด
หากแต่กองทัพซีเรียยังคงเดินหน้าถล่มโจมตีเมืองอิดลิบอย่างหนักต่อไป
มีคำถามว่า เหตุใดกองทัพซีเรียภายใต้การนำของประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด ที่รัสเซียให้การหนุนหลังอยู่ ถึงโหมถล่มโจมตีเมืองอิดลิบอย่างหนักในช่วงเวลานี้
เหตุผลหลักเป็นเพราะอิดลิบเป็นพื้นที่สำคัญทางยุทธศาสตร์ เนื่องจากเป็นฐานที่มั่นสุดท้ายที่เหลืออยู่ของกองกำลังติดอาวุธญิฮาด อย่างกลุ่มฮายัตตาห์รีร์อัล-ชัม (เอชทีเอส) และกลุ่มฮูร์ราสอัล-ดิน ที่ต้องการโค่นล้มรัฐบาลอัสซาด
และยังเป็นที่มั่นของกลุ่มกบฏต่อต้านรัฐบาลที่มีตุรกีเป็นกองหนุนใหญ่อยู่
ซึ่งกองทัพซีเรียต้องการบดขยี้ให้หมดสิ้น
นอกจากนี้ อิดลิบที่มีแนวเขตติดกับเมืองอเลปโป้ ซึ่งขึ้นไปทางตอนเหนือของประเทศ ยังเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่ยุทธศาสตร์ทางการค้าของซีเรีย
โดยเป็นที่ตั้งถนนทางหลวงสายเอ็ม 5 เชื่อมเส้นทางการค้าจากกรุงดามัสกัส ผ่านอิดลิบไปถึงเมืองอเลปโป้
ทำให้รัฐบาลซีเรียต้องการยึดพื้นที่นี้คืนกลับมาอยู่ในความครอบครองของตนเองให้ได้โดยเร็ว
หลังจากในช่วง 5 ปีที่ผ่านมากองทัพซีเรียสามารถยึดคืนพื้นที่ส่วนใหญ่ที่เคยตกไปเป็นของกลุ่มกบฏและกลุ่มติดอาวุธญิฮาดหลังสงครามกลางเมืองซีเรียปะทุขึ้นในปี 2554 กลับคืนมาได้แล้ว
การสามารถกระชับอำนาจกลับคืนมาได้อย่างแข็งแกร่งของรัฐบาลอัสซาดโดยที่ยังมีรัสเซียและกลุ่มติดอาวุธที่อิหร่านหนุนอยู่ คอยเป็นแบ๊กอัพใหญ่ให้อยู่เช่นนี้ ยิ่งทำให้กองทัพซีเรียมีความฮึกเหิมที่จะปลดปล่อยอิดลิบให้พ้นจากกองกำลังติดอาวุธฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลให้ได้ในเร็ววัน
นั่นหมายความว่าจะต้องมีผู้คนบาดเจ็บ ล้มตาย และต้องกลายเป็นคนพลัดถิ่นฐานในอิดลิบเพิ่มมากขึ้น และจะยิ่งเป็นการซ้ำเติมสถานการณ์ด้านมนุษยธรรมในดินแดนแห่งนี้ให้เลวร้ายลงไปมากกว่านี้อย่างแน่นอน