วิเคราะห์ | กางมิชชั่นฝ่ายค้าน “ซักฟอก” ยุทธการ “อรุณรุ่งผนึกพินอคคิโอ”

การอภิปรายไม่ไว้วางใจนัดแรกหลังการรัฐประหารปี 2557 กำลังจะเกิดขึ้น

หลายคนจับจ้องการอภิปรายครั้งนี้เป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นศึกซักฟอกแรก ที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะต้องเจอหลังจากว่างเว้นการตรวจสอบโดยสภาผู้แทนราษฎรมานานกว่า 6 ปี

ศึกใหญ่ในการซักฟอกรัฐบาลครั้งนี้ เป็นการผนึกกำลังกันของ 6 พรรคฝ่ายค้าน ที่แบ่งงานกันทำอย่างเป็นระบบ

มีการจัดทีมทั้งทีมสู้ในสภา และทีมซัพพอร์ตนอกสภา เฟ้นเลือกแม่ทัพและขุนพลในการอภิปรายที่เรียกว่าเพลงดาบดี ฝีปากกล้า

แผนในการออกศึกครั้งนี้ เน้นโจมตีที่ “แม่ทัพฝ่ายรัฐบาล” อย่าง “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

ทุกดาบที่ฟาดฟันออกไป พุ่งเป้าไปที่นั่น เนื่องจาก “พล.อ.ประยุทธ์” คือจุดอ่อนในด้านอารมณ์ที่หลุดง่าย และการพูดไปเรื่อยๆ โดยไม่มีหลักหรือใจความสำคัญ ยิ่งตี ยิ่งปี๊ด ยิ่งปี๊ด ยิ่งช้ำ ทุกคนจึงตั้งเป้าระดมตีไปที่จุดเดียว

“ตีเข้ามากๆ เดี๋ยวก็ช้ำ” กุนซือฟากฝ่ายค้านเคยกล่าวไว้

นอกจากนี้ หากให้วิเคราะห์ “ตีหัวให้ตาย” เดี๋ยว “ลำตัว” ก็ยืนอยู่ไม่ได้ ยังคงเป็นแผนที่ใช้ได้ดีอยู่ในทุกเกมศึก

สอดรับกับสิ่งที่ได้ยินมาจากพรรคฟากฝ่ายค้านว่า การล้มรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์นั้นคงทำในสภาไม่ได้

เพราะเพียงแค่เสียงที่ฝ่ายค้านมีอยู่ก็ไม่เพียงพอต่อการโหวตเชือดแล้ว

ยังไม่นับรวมถึงเสียงที่โดนกล้วยล่อซื้อไปอีก

ดังนั้น สิ่งที่ฝ่ายค้านมุ่งหมาย จึงไม่ใช่การอภิปรายเพื่อทำลาย “รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์” ในสภา

แต่มุ่งหมายจะส่งแรงกระเพื่อมไปนอกสภา ไปยังประชาชน ไปยังคนที่มองการอภิปรายในครั้งนี้อยู่

หวังให้ “รัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ” สูญสิ้นความน่าเชื่อถือ แม้ไม่ตายในสภา ก็ต้องเจ็บหนักกระอักเลือดจนอาจจะออกมาดับนอกสภา

ศึกอภิปรายครั้งนี้ “ฝ่ายค้าน” ล็อกเป้าชัดว่าจะจัดหนัก “พล.อ.ประยุทธ์” เนื่องจากเป็นผู้นำรัฐบาลที่บริหารงานต่างๆ ผิดพลาดจนประเทศเสียโอกาส เสียประโยชน์ เอื้อนายทุน และมีการทุจริต

เป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจที่นอกจากจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้แล้วยังทำให้เศรษฐกิจไทยพังยับ ดิ่งลงเหวไปเรื่อยๆ อีก

เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมที่ไม่สามารถให้ความปลอดภัยและความมั่นคงกับประชาชนในประเทศได้ ซึ่งเหตุการณ์ทหารคลั่งกราดยิงประชาชนที่โคราชตอกย้ำภาพนี้ได้ชัดเจนที่สุด

นี่ยังไม่นับรวมถึงการปล่อยให้มีการละเมิดสิทธิมนุษยชน และละเมิดเสรีภาพประชาชนอีก พลาดพลั้งหลายเรื่อง จนภาพขยายเป็นเรื่องใหญ่ของรัฐบาล

ส่วนชื่อ “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” “พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา” “วิษณุ เครืองาม” “ดอน ปรมัตถ์วินัย” และ “ธรรมนัส พรหมเผ่า” นั้น เป็นไม้ประดับที่มีแผลเหวอะหวะ ลำต้นเริ่มไม่มั่นคง พร้อมทำหน้าที่ขยายความเลวร้ายของรัฐบาลชุดที่นำการบริหารโดย “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ให้ชัดเจนขึ้นไปอีก

ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา แกนนำฝ่ายค้านอย่าง “พรรคเพื่อไทย” จึงลองแหย่ฟากรัฐบาลโดยการแย้มข้อมูลเบื้องต้นที่จะใช้ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจออกมาชัดๆ เป็นครั้งแรก 2 เรื่อง

โดย “ยุทธพงษ์ จรัสเสถียร” ส.ส.มหาสารคาม และคณะกรรมการกิจการพิเศษพรรคเพื่อไทย คือ เรื่องการต่อสัญญาเช่าพื้นที่บริเวณศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ให้เจ้าสัวรายใหญ่คนดัง และการย้ายโรงงานยาสูบไปอยู่ในพื้นที่ที่น้ำท่วม เพื่อเอื้อประโยชน์เรื่องพื้นที่ให้กับเจ้าสัวคนดังรายเดิม หลักฐานค่อนข้างชัดพร้อมมัดรวบ

แน่นอนว่า ทั้ง 2 เรื่องที่เปิดมา ล้วนเป็นเรื่องของ “พล.อ.ประยุทธ์” เน้นๆ

แถมบอก ที่เสิร์ฟตอนนี้เป็นออเดิร์ฟ แต่เมนคอร์สจะไปเสิร์ฟในสภาซะด้วย

ยิ่งฝ่ายค้านล็อกเป้าชัดเท่าไหร่ ฝ่ายรัฐบาลยิ่งนิ่งนอนใจไม่ได้ ภาพตั้ง “องครักษ์” พิทักษ์นายกฯ และรัฐมนตรีที่จะถูกอภิปรายดูจริงจังขึ้น มีการประชุมวางแผน เตรียมข้อมูลทุกวัน ออกข่าวทั้งข่มทั้งขู่ฝ่ายค้านถี่ยิบจากทุกทิศทุกทาง

ตั้งแต่ขู่ว่า ห้ามอภิปรายย้อนไปสมัย คสช. ให้พูดถึงแค่เรื่องปัจจุบัน ไม่อย่างนั้นจะเสนอปิดอภิปราย

ไปจนถึงขนาดงัดชื่อ “ทักษิณ” มาขู่ว่า ถ้าอภิปรายย้อนไปเรื่องเก่าของ “พล.อ.ประยุทธ์” ก็จะสวนกลับด้วยเรื่อง “ยุคทักษิณ” ว่าเคยทำอะไรไว้ ล่าสุดขู่อีก ว่าพร้อมงัดทั้งในและนอกสภา

ทำเอา “ป๋าเหลิม” ยัวะ บอก มาเลย! ถ้า “พลังประชารัฐ” พร้อมจะเปิดเกมนอกสภา พวกเราพร้อม โดยเฉพาะตัวเองนี่ยิ่งพร้อมมาก เพราะไม่มีโอกาสได้เข้าสภาอยู่แล้ว

พร้อมบอก การเมืองไม่ต้องมาสอนกัน เพราะรู้เท่าทันกันหมด

ขณะที่ฟากฝั่ง “อนาคตใหม่” ได้เคยเปิด “โปรเจ็กต์พินอคคิโอ” เป็นกลยุทธ์ในการศึกแรกนี้ โดยมี “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ”  เป็นหัวหน้าโปรเจ็กต์

ซึ่งเหตุที่ใช้ชื่อนี้ “ธนาธร” ขยายความว่า เพราะตัวละครพินอคคิโอเป็นตัวละครที่ทำผิดซ้ำซาก และพยายามปกปิดความผิดของตัวเองไปเรื่อยๆ จนเรื่องบานปลาย สุดท้ายก็ปกปิดไม่ได้ เหมือนกับสิ่งที่เกิดขึ้นใน “รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์” ที่ไม่เคยถูกตรวจสอบตลอดช่วงระยะเวลา 6 ปีที่ผ่านมา ปกปิดความผิดของตัวเองต่อสาธารณะ ภายใต้ข้ออ้างเรื่องความสงบ โปรเจ็กต์นี้จึงจะเป็นปฏิบัติการกระชากหน้ากากพินอคคิโอให้ประชาชนได้รับรู้ถึงจมูกอันยืดยาวและข้อผิดพลาดของรัฐบาล โดยเฉพาะตัว “แม่ทัพใหญ่ของรัฐบาล”

ต่อมาล่าสุด “แม่ทัพศึกซักฟอก” ของทางฝ่ายค้าน อย่าง “เฉลิม” ไม่ยอมน้อยหน้า ผุด “ยุทธการอรุณรุ่ง” ทิ้งทวนการแถลงข่าวนัดสุดท้ายก่อนการอภิปรายไม่ไว้วางใจจะเกิดขึ้น

ผู้สื่อข่าวพยายามถามจี้เอาแผนของยุทธการดังกล่าวมากาง เจ้าตัวนอกจากจะไม่ยอมหลุดแผนการ ยังย้อนบอกให้ติดตามดูในอนาคตที่จะเกิดขึ้นแล้วจะเข้าใจทันทีว่าเหตุใดจึงใช้ชื่อยุทธการนี้

แถม “สุทิน คลังแสง” ประธานวิปฝ่ายค้านยังเสริมคีย์เวิร์ดสำทับอีกว่า จะเป็น “ยุทธการอรุณรุ่ง ณ ทุ่งสังหาร” เปรียบสภาเป็น “ทุ่ง” ที่จะใช้ “เชือด” รัฐบาลเลยทีเดียว

“แม่ทัพบางบอน” บอก “ยุทธการอรุณรุ่ง” นี้ ให้รักกันปานดวงใจก็บอกแผนลับนี้ออกไปไม่ได้ เพราะถือเป็นหมัดน็อกรัฐบาล แต่มีการทำเป็นขั้นเป็นตอนวางอยู่

เจ้าตัวมีการแย้มต่อว่า “ข้อมูลของยุทธพงษ์ไม่ได้มีแค่เรื่องการเซ็นต่อสัญญาเช่าพื้นที่บริเวณศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์และการอนุมัติย้ายโรงงานยาสูบเท่านั้น แต่ยังมีข้อมูลอีกเป็นกระตั้กที่ยังไม่ได้นำออกมาเปิดเผย”

และปฏิเสธว่า “ยุทธการอรุณรุ่ง” ไม่ได้เกี่ยวอะไรเลยกับจังหวัดแรกๆ ที่พระอาทิตย์ขึ้นตามที่มีข่าวลือ พร้อมย้ำอีกว่า “แค่โจ้อภิปรายคนเดียวก็อยู่ไม่ได้แล้ว พังแน่”

ฟังจากน้ำเสียงและหางเสียงของแม่ทัพในศึกอภิปรายแล้ว ดูเหมือนจะมีทั้งความเชื่อและความมั่นใจมากว่า ข้อมูลที่จะใช้ในการอภิปรายสามารถตีทัพรัฐบาลแตกได้อย่างแน่นอน

“มหาศึกอภิปราย” ในครั้งนี้ เกมกลของฝ่ายค้านจะแยบยล หรือดุเดือดขนาดไหน จะล้มความน่าเชื่อถือของรัฐบาลหรือไม่ ใครจะอยู่ ใครจะไป รัฐบาลจะตั้งรับในเกมรุกครั้งแรกของฝ่ายค้านได้หรือไม่ อย่างไร

นาทีนี้คงทำได้แค่รอรับชมในสภา

แต่ที่แน่ๆ มีคนแอบกระซิบกระซาบบอกว่า เมื่อ “อรุณรุ่ง” เบิกฟ้าขึ้นกลางนภาเมื่อใด “จันทร์” ดวงกล้า ก็ถึงคลาดับลง ฉันนั้นแล