ในประเทศ : ปฏิบัติการ “ทุบหม้อข้าว” “บิ๊กแดง” ลั่นไกเอ็มโอยู ณ วินาทีนั้น-ธุรกิจ ไม่ใช่ของทหารอีกแล้ว?

สืบเนื่องจากโศกนาฏกรรมกราดยิง 30 ศพ นำมาสู่การแถลงใหญ่ของ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์

สิ่งหนึ่งที่สังคมให้ความสนใจคือคำประกาศ “ปฏิรูปกองทัพ”

นับจากวันนั้น จนถึงวันเกษียณอายุราชการอีก 7 เดือนข้างหน้า จึงเป็นห้วงเวลาแห่งการท้าทายของ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ จะสามารถลงมือปฏิบัติในสิ่งที่ประกาศไว้ได้สำเร็จ จริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงลมปากปัดเป่ากระแสกดดันต่อกองทัพชั่วครู่ชั่วยาม

ถึงกระนั้นระหว่างรอการพิสูจน์ ก็มีหลายสิ่งอย่างส่งสัญญาณคืบหน้าในทิศทางที่ดี และก็มีบางเรื่องที่ต้องใช้เวลาแก้ไขเปลี่ยนแปลง

คืบหน้าเป็นรูปธรรมเด่นชัด “โครงการการจัดสวัสดิการในเชิงธุรกิจของกองทัพบก” ภายใต้การทำบันทึกข้อตกลง หรือเอ็มโอยู กับกรมธนารักษ์ ที่สังคมมองตรงกันว่าเป็นปฏิบัติการ “ทุบหม้อข้าว”

รวมถึงการเปิดสายตรง หรือ “คอลเซ็นเตอร์” รับเรื่องร้องเรียนจากกำลังพลส่งตรงถึง ผบ.ทบ.

“ยืนยันการดำเนินการต่างๆ ไม่ใช่ปาหี่อย่างที่ฝ่ายการเมืองกล่าวหา อะไรที่เริ่มต้นจากเบอร์ 1 เป็นเรื่องจริงจังทั้งหมด ไม่ใช่เรื่องปาหี่แน่นอน” พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รอง ผบ.ทบ.กล่าวยืนยัน

พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ลงนามเอ็มโอยู “โครงการการจัดสวัสดิการในเชิงธุรกิจของกองทัพบก” ร่วมกับนายยุทธนา หยิมการุณ อธิบดีกรมธนารักษ์ เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

จุดประสงค์เพื่อให้การใช้ที่ราชพัสดุของกองทัพบก ที่ดิน อาคาร และสิ่งปลูกสร้าง ในการจัดสวัสดิการภายในกองทัพบก เป็นไปภายใต้กรอบระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการจัดสวัสดิการภายในส่วนราชการ พ.ศ.2547

และประกาศคณะกรรมการสวัสดิการข้าราชการ เรื่อง หลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขการจัดสวัสดิการในเชิงธุรกิจ ประกาศ ณ วันที่ 8 กรกฎาคม 2548 ไม่ว่าจะเป็นปั๊มน้ำมัน ร้านค้า ตลาดนัด กิจการสโมสร สนามมวย สนามกอล์ฟ สนามม้า

และสถานพักฟื้นพักผ่อนกองทัพบก

นายประสงค์ พูนธเนศ ปลัดกระทรวงการคลัง เผยเรื่องนี้ว่า ที่ดินในส่วนการจัดสวัสดิการเชิงธุรกิจจะต้องส่งคืนกรมธนารักษ์ และกรมธนารักษ์จะเข้าไปบริหารจัดการเชิงธุรกิจ รายได้นำส่งเป็นของแผ่นดิน

ด้าน พล.อ.ธีรวัฒน์ บุณยะวัฒน์ เสนาธิการทหารบกกล่าวยืนยัน สิ่งที่กองทัพบกทำในวันนี้คือ ทำให้เกิดความถูกต้อง โปร่งใส ตรวจสอบได้

กองทัพบกมีสวัสดิการเชิงธุรกิจ 40 กว่าแห่ง เช่น สถานีบริการน้ำมัน ร้านค้า ตลาดนัด กิจการสโมสร สนามมวยลุมพินี (รามอินทรา) สนามมวยกองทัพภาคที่ 2 สนามกอล์ฟกองทัพบก สนามกอล์ฟลานนา สนามกอล์ฟสวนสนฯ สนามม้า และสถานพักฟื้นพักผ่อนกองทัพบก

ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา กองทัพบกมีรายได้จากกิจการเหล่านี้ไม่มาก ไม่ถึงพันล้านบาท เนื่องจากดำเนินการในรูปแบบเชิงสวัสดิการภายใน ประกอบกับการที่ทหารไม่ใช่นักบริหารกิจการธุรกิจมืออาชีพ

แต่ในช่วงเปลี่ยนผ่านต่อจากนี้ รายได้สวัสดิการเชิงธุรกิจหลังจ่ายให้กับกรมธนารักษ์แล้ว จะถูกแบ่งกลับมานำเข้ากองทุนสวัสดิการกองทัพบกตามระเบียบ เพื่อนำเงินมาใช้ดูแลกำลังพล เช่น ทุนการศึกษาบุตร ดูแลสวัสดิการกำลังพล สวัสดิการกู้ยืม เงินประกันชีวิต ฯลฯ

สิ่งที่คนในสังคมไม่ค่อยรู้ หรือไม่เคยรู้ก็คือ กองทัพบกมีที่ดินในการดูแลเกือบ 1 ล้านไร่

“ยังตอบไม่ได้ว่ากิจการเชิงธุรกิจกองทัพบกได้กำไรกี่พันล้าน เพราะต้องใช้ความพยายามและเวลาเป็นปี กว่าจะเดินทางถึงตรงนี้ที่เริ่มทำเอ็มโอยู ทำเป็นสวัสดิการเชิงธุรกิจอย่างแท้จริงโดยมีมืออาชีพเข้ามาดูแล มีเอกชนเข้ามาบริหาร” นายประสงค์กล่าว

ในส่วนของที่ดินกองทัพบก 7 แสนไร่ซึ่งถูกประชาชนบุกรุก กองทัพบกขอให้กรมธนารักษ์ไปทำสัญญาเช่าครั้งละไม่เกิน 3 ปี เพื่อให้อยู่ในระบบ และควบคุมไม่ให้มีการบุกรุก ทำให้มีรายได้เข้าแผ่นดิน โปร่งใสมากขึ้น

เนื่องจากทุกอย่างขึ้นมาอยู่บนโต๊ะ

 

จากนั้น 19 กุมภาพันธ์ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. มอบหมายให้ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รอง ผบ.ทบ. แถลงรายละเอียด โครงการเปิดสายด่วน หรือคอลเซ็นเตอร์

เพื่อเป็นช่องทางให้กำลังพลร้องเรียนปัญหาโดยตรงถึง ผบ.ทบ. โดยใช้บุคคลภายนอกดำเนินการ ในลักษณะคอลเซ็นเตอร์ตลอด 24 ชั่วโมง ภายใต้สโลแกน “ทุกเรื่องคือความลับ ทุกเรื่องถึง ผบ.ทบ.ทั้งหมด”

พล.อ.ณัฐพลกล่าวว่า พล.อ.อภิรัชต์เน้นย้ำผู้บังคับหน่วยต้องเอาใจใส่กำลังพล ใกล้ชิดเอาใจใส่ทุกข์สุขของผู้ใต้บังคับบัญชา ไม่ทำตัวเป็น “เจ้าขุนมูลนาย” แต่หากมีการปฏิบัติทางทหารก็ยังคงไว้ซึ่งความเด็ดขาด ผสมผสานกัน เพราะเป็นยุคคนรุ่นใหม่ นำระบบเดิมมาใช้อย่างเดียวไม่ได้

กองทัพบกยืนยันรับฟังเสียงสะท้อนจากสังคม ไม่ว่าเรื่อง “ความเหลื่อมล้ำ” หรือ “ระบบศักดินา” ภายในกองทัพบก เราพยายามปรับตัว

รอง ผบ.ทบ.ยังกล่าวถึงเหตุการณ์ความรุนแรงที่ จ.นครราชสีมา เป็นลักษณะการก่อเหตุที่เรียกว่าโลนวูล์ฟ (Lone Wolf) หรือหมาป่าเดียวดาย ซึ่ง ผบ.ทบ.สั่งการให้ศึกษามาก่อนหน้านี้ แต่ช่วงนั้นไม่มีเหตุการณ์จึงไม่ได้รับความสนใจ ตอนนี้สั่งให้นำมาศึกษาจริงจังอีกครั้ง ป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้ขึ้นอีก

จากสวัสดิการเชิงธุรกิจในกองทัพ และสายตรง ผบ.ทบ. มาถึงเรื่อง “บ้านพักทหาร” หรือบ้านหลวง อีกหัวข้อหนึ่งที่ถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุดเวลานี้

สืบเนื่องจากการแถลงเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ กล่าวตอนหนึ่งถึงการขีดเส้นตายให้ผู้เกษียณอายุราชการต้องย้ายออกจากบ้านพักทหาร เปิดโอกาสให้ทหารที่ยังอยู่ในราชการเข้ามาอยู่แทน เพื่อไม่เป็นการเอาเปรียบหลวงและเพื่อนร่วมงาน

แต่แล้วเรื่องที่ดูเหมือนจัดการได้ง่าย ก็กลายเป็นกลืนไม่เข้าคายไม่ออกขึ้นมาทันที

เมื่อปรากฏชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม กับ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย

ปัจจุบันยังอาศัยอยู่บ้านพักในพื้นที่ทหาร

 

มีความพยายามออกข่าวหลักเกณฑ์ข้อยกเว้น

ในส่วนผู้ที่เกษียณอายุราชการแล้วแต่ยังทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศชาติ เช่น นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี สมาชิกวุฒิสภา และองคมนตรี ยังสามารถพักอาศัยอยู่ในพื้นที่ทหารได้ตามปกติ ไม่ต้องย้ายออก

แต่ก็ไม่สามารถหยุดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ได้

กรณี พล.ท.พงศกร รอดชมภู ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ ที่อาศัยอยู่บ้านพักศูนย์รักษาความปลอดภัย (ศรภ.) กองบัญชาการกองทัพไทย ตอนแรกดูเหมือนเป็น “จุดอ่อน” ของพรรคอนาคตใหม่ ที่ชูนโยบาย “ปฏิรูปกองทัพ” มาตลอด

แต่เมื่อนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ออกมาขอโทษประชาชนต่อกรณีที่เกิดขึ้น ยืนยันความตั้งใจจริงที่จะปฏิรูปกองทัพต่อไป

ขณะที่ พล.ท.พงศกรก็ไม่ได้นิ่งนอนใจกับสิ่งที่พลาดพลั้ง ประกาศลาออกจากกรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่ทันที และยืนยันพร้อมคืนบ้านพัก ย้ายออกจากพื้นที่ทหารภายในสิ้นเดือนมีนาคม

กระแสก็ตีกลับมายังกองทัพกับ พล.อ.ประยุทธ์อีกครั้ง

พล.อ.ประยุทธ์เลือกเผชิญหน้ากับคำถามของสื่อมวลชน ด้วยการปฏิเสธแบบอ้อมๆ ว่าจะไม่ย้ายออกจากบ้านพักทหาร โดยอ้างเหตุผลในฐานะผู้นำประเทศจำเป็นต้องมีสถานที่เหมาะสมในเรื่องการรักษาความปลอดภัย

ขณะที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย อ้างเรื่องบ้านพักส่วนตัวอยู่ไกลจากที่ทำงาน จึงต้องอยู่บ้านพักสวัสดิการทหาร

ทั้งหมดนี้คือความคืบหน้านำร่องไปสู่การปฏิรูปกองทัพ หน่วยงานราชการทรงอิทธิพลมากที่สุดในไทย

ภายใต้ปฏิบัติการ “ทุบหม้อข้าว” ณ วินาทีที่ ผบ.ทบ.ลงนามในเอ็มโอยูกับกรมธนารักษ์ ธุรกิจในค่ายทหารก็ถูกหยิบจากใต้โต๊ะขึ้นมาวางบนโต๊ะ ต่อหน้าประชาชนทั้งประเทศ

ไม่ใช่เรื่องลึกลับ รู้กันแต่เฉพาะคนในกองทัพอีกต่อไป