การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ ถ้าจะพูดอะไรอีกสักอย่างจากนี้ไป

ฉันเอาแต่จ้องดูใบหน้าขาวๆ ที่ก้มงุดต่ำตลอดเวลา และนึกพิศวงว่า หล่อนอยู่มาได้อย่างไร

แต่ก็นั่นแหละ ผมบ๊อบเองก็อาจสงสัย ตัวฉันเล่าผ่านมาได้อย่างไรกัน

เราอาจจะมีคำถามพอกัน

…จนมากพอ ที่จะเงียบงันกันอยู่หลายวันหลายคืน นับแต่เหตุการณ์นั้น

 

ผิวน้ำกระเพื่อมเป็นริ้วระลอก เมื่อมีคนโยนเศษขนมลงไป ปลาหลายตัวพุ่งเข้ามางับอาหาร ก่อนจะพากันแหวกว่ายอออยู่

ผมบ๊อบถอนหญ้าริมตลิ่งขึ้นมาต้นหนึ่ง ฉันจึงเอ่ยปากไปว่า

“เขาไม่ให้เด็ดทำลายต้นไม้นะ มีป้ายบอก”

“ก็นี่มันหญ้า” ผมบ๊อบเงยหน้า ยื่นก้านหญ้ามาให้เห็นใกล้ๆ

ฉันรู้แล้วว่านั่นคือหญ้า แต่ก็รู้เช่นกันว่า แม้เพียงหญ้าสักต้นหนึ่งมันก็มีเจ้าของ ตราบใดที่เราเป็นฝ่ายข้ามประตูเข้ามา

คำว่าสวนสาธารณะ ถึงที่สุดแล้ว ก็คือสถานที่ราชการ

ป้าย “สวนบวกหาด” เด่นอยู่ข้างหน้า ฉันเพิ่งได้เข้ามาจริงๆ เป็นครั้งแรก หลังจากได้ยินชื่อมานาน

เคยแต่ผ่านไปผ่านมา อย่างมากที่สุดก็คือการยืนหน้ารั้ว มองลอดช่องเข้าไป

จดจำสถานที่ได้ เพราะครั้งหนึ่ง เคยได้ยินคำอวดเต็มหู

“ไปเชียงใหม่มารึ” ฉันถามเด็กผมม้าตาใส…ก่องแก้ว “ไปกับพี่กอบเหรอ”

“อือ ไปเที่ยวสวนสัตว์มาด้วย น้าโฟพาเที่ยวตั้งหลายที่ สวนบวกหาดก็ได้ไป”

ยังจำความน้อยเนื้อต่ำใจได้ กับสิ่งที่รู้สึกว่าฉันคงจะ…ไม่มีวันเอื้อมถึง

จนวันนี้ ที่นายจ้างปิดร้านเพราะจะไปงานศพญาติต่างอำเภอ เราทั้งหลายจึงได้มีโอกาสพักสักวันหนึ่ง แต่แน่นอนว่า เราจะไม่ได้เงินสักบาทในวันนั้น

ฉันนึกถึงบางสิ่งบางอย่าง แล้วจึงเอ่ยปากลองชวนดอกมะลิและคนผมบ๊อบ

ทั้งคู่ตอบรับ แต่ก็ด้วยลักษณะอาการต่างกัน

 

ดอกมะลิยังคงรื่นเริงสดใส เด็กสาวมีเงินในกระเป๋ามากพอที่จะไปขอถ่ายรูปบ้าง ถ้ามีสตางค์ จะมีช่างภาพรับถ่ายรูปและอัดแผ่นมาให้ แม้จะได้รูปในอีกอาทิตย์ถัดไป แต่ถ้าอยู่ภายในตัวเมืองเชียงใหม่ ก็มาเอารูปได้ทุกเมื่อ

แต่ฉันไม่แน่ใจ ถ้าจ่ายสตางค์ถ่ายรูปไป บางที…อาจไม่มีวันกลับมาเอาก็ได้

ผมบ๊อบก็คงคิดอย่างนั้น หรือเราอาจคิดเหมือนกันอีกอย่าง จะเอารูปถ่ายไปทำไม ไม่มีใครจะต้องส่งไปให้ดู

ครั้นจะเก็บไว้ ก็แบกทั้งร่างกายและจิตใจตัวเองอยู่ บางครั้ง เดินผ่านกระจกเงายังไม่อยากจะมองดูใบหน้าตัวเองด้วยซ้ำ

ถ้าเงาไปปรากฏบนภาพ ก็คงเป็นภาพของความมอมแมมซอมซ่อขัดสน

จะเก็บมันเพื่อเป็นประจักษ์พยานอะไร อย่างมาก ก็เก็บไว้เตือนใจตน

ว่าเราคือคนจน คนสิ้นไร้ทางไป คนที่ไม่มีอนาคตอะไรสักอย่าง

 

“เขาเขียนป้ายห้ามไว้ ถ้าจะเอาผิดเรา เขาก็จะเอาได้เต็มที่”

ฉันพูดกับคนที่กลับไปก้มหน้า

แต่ไหล่ไหวเบาๆ รู้ว่าฟังอยู่

“อือ ไม่ต้องพูดซ้ำ เข้าใจแล้ว”

“นวล…” ฉันเรียกชื่ออย่างตั้งใจ “ฉันเคยทำงานในบ้านผู้พิพากษา ถึงเขาจะต้องพิพากษาให้ยุติธรรม แต่มันก็ไม่มีความยุติธรรมสำหรับคนอย่างพวกเราหรอก”

เด็กสาวเงยหน้า

“ทำไมเธอพูดแบบนั้น”

“เพราะฉันเจอมันมาด้วยตัวเองไง”

ผมบ๊อบเงียบงันไป ก่อนจะรำพึงออกมา

“ถ้าตายๆ ไปเสียมันคงจะดีสินะ ฉันไม่เห็นจะอยากอยู่บนโลกนี้เลย”

ฉันนิ่งเงียบ

“แค” ผมบ๊อบเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง “แล้วทำไมเราไม่ตายไปด้วยกันเสียล่ะ เธอมาห้ามฉันไว้ทำไม”

ฉันจ้องหน้าเด็กสาวผมบ๊อบ แล้วจู่ๆ ก็มีความรู้สึกอย่างหนึ่งหลั่งไหลเข้ามา

…ฉันไม่รู้ว่า มันมาได้อย่างไร ก่อเกิดจากไหน เหมือนกระแสธารที่ไหลมาจากตาน้ำผุด

มันคือความอ่อนแอของตัวฉัน กับการแสวงหาอยู่ลึกๆ…ต้องการจุดที่จะหยุดความรู้สึก อยากจะเกาะเกี่ยวอะไรสักอย่างเอาไว้ หรือมันก็แค่ใจ…ใจที่ไหวเอนเหมือนปลายยอดหญ้า

 

ฉันล้มตัวลงนอนเหยียดยาวบนพื้นหญ้าริมตลิ่ง ยกแขนขึ้นรองหนุนหัวตัวเอง เพื่อจะมองฟ้าจ้าๆ ข้างบน

จ้าจนเกือบตาพร่า แต่ก็ดีพอที่จะทำให้น้ำตาไหลเพิ่มโดยไม่แปลกประหลาดอันใด

“เอาไว้ฉันจะไปคิดดูนะ” บอกกับอดีตคู่อริที่กลายมาเป็นเพื่อนใหม่ “ถ้าฉันพร้อมเมื่อไรจะบอกเธอเป็นคนแรก”

ผมบ๊อบขยับตัว และลำตัวก็ชิดเข้ามาใกล้เข่าขาของฉันที่ชันอยู่

“แน่ละสิ เธอจะบอกใครล่ะ”

ฉันเงียบไป และเราก็เงียบกันไปอีกนาน

…นานจนกระทั่งมีก้อนเมฆเคลื่อนมาบดบังแสงอาทิตย์บางส่วนไว้ ฉันเลื่อนสายตาละจากฟ้าข้างบน มาดูคนที่ยังนั่งก้มหน้าใกล้ๆ

หยดวาวใสหนึ่งตกแหมะลง

คัดจมูกขึ้นมาชั่วฉับพลัน ฉันควรจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็ยังพูดไม่ออก

อาจเป็นนาทีทอง ที่ดอกมะลิยังคงถ่ายรูปอยู่กับช่างภาพอย่างสดใส เป็นนาทีทอง…ที่เราทั้งคู่จะไม่ต้องปั้นหน้าแสดงอะไร

อีกไม่กี่นาทีข้างหน้า เราก็จะต้องลุกขึ้นแสดงละครกันต่อไปอยู่ดี

ช่วงไม่กี่นาทีที่เราปล่อยน้ำตาไหลกันอยู่เงียบๆ จึงคือช่วงเวลาสำคัญ

มือของผมบ๊อบแตะมา ฉันรีบไขว่คว้าปลายนิ้วนั้นไว้ แล้วเราก็ผ่านเข้าไปในโลกลึกลับด้วยกันอีกครั้ง

 

“ได้รูปแล้ว!”

ดอกมะลิยิ้มร่าเข้ามาหา พลางชูกระดาษขนาดเท่าไปรษณียบัตรให้ดู

“ดูสิ สวยมั้ย!”

ฉันรับมาดู เป็นภาพของดอกมะลิในชุดชาวเขา สวมหมวกและกระโปรงบานหยักบาน ใบหน้าผ่องใส สีสันของดอกไม้รอบๆ ส่งให้ภาพนั้นยิ่งมีชีวิตชีวา

ทว่า คนผมบ๊อบลุกพรวดทันควัน

“ฉันไปทำงานก่อนนะ”

“เดี๋ยวสิ” ฉันคว้าข้อมือไว้ “ยังกินข้าวไม่อิ่มเลยนี่”

บนโต๊ะที่เราใช้เป็นเตียงนอนยามค่ำคืน ครั้นเช้าหรือบ่าย บางครั้งก็กลายมาเป็นโต๊ะกินข้าว

น้ำพริกตาแดง แคบหมู ข้าวนึ่งที่ซื้อมายังวางอยู่คาโต๊ะ เรากำลังกินข้าวเช้าด้วยกัน

“อิ่มแล้ว”

“เป็นอะไรน่ะ” ดอกมะลิถาม เมื่อเห็นคนผมบ๊อบลุกไปจริงๆ

“ไม่มีอะไร คงอิ่มแล้วน่ะ” ฉันเป็นฝ่ายตอบแทนเสีย พลางเปลี่ยนเรื่อง “ได้รูปเร็วดีนี่ กี่บาท”

“ซาวบาทเท่านั้น” มะลิว่า

“ตั้งซาวบาท” นั่นคือใบเขียวหนึ่งใบ “เท่ากับค่าแรงเราทั้งวันเลยนี่”

“แหม ก็นานๆ ที รูปนี้จะเอาส่งให้แฟน” ดอกมะลิสีหน้าเคลิ้มฝัน “เดี๋ยวเธอช่วยเขียนกลอนให้ฉันข้างหลังรูปด้วยนะ”

“เธอก็เขียนเองซี”

ดอกมะลิส่ายหัว

“ไม่ละ ฉันเขียนกลอนอย่างเธอไม่ได้…รู้นะ ว่าเธอเขียนกลอนเก่ง ลายมือฉันก็ไม่งามด้วย”

“ก็ได้” ฉันตอบเพื่อให้จบเรื่องไป

ตากับจิตใจ อดจะมองตามหลังร่างขาวไม่ได้

ต่อให้บางครั้ง เราเชื่อมถึงกันในโลกที่ใครอื่นไม่เข้าใจ แต่ฉันก็ไม่เข้าใจในบางสิ่งอยู่ดี

 

จนเมื่อได้มีโอกาสอยู่กันตามลำพังอีกครั้ง ระหว่างนั่งล้างจานคู่กันอยู่

“เป็นอะไรน่ะ” ฉันมองดูใบหน้าที่แทรกเข้ามาในชีวิตโดยไม่คาดฝัน

“…พูดไปเธอก็ไม่เข้าใจหรอก”

ผมบ๊อบเบือนหน้าไปเสีย

“ก็บอกมาสิ ว่าคืออะไร เรื่องอะไร ทำไมเธอถึงไม่พอใจมะลิด้วย”

“ไม่ใช่ไม่พอใจ…” เด็กสาวเสียงแปร่งไป “แค่ฉันรู้สึกไม่ดี”

“ทำไม…ยังไง”

“แค…” เด็กสาวเหลียวกลับมา จ้องดูหน้าฉัน “เธอพูดว่า มันไม่มีความยุติธรรมสำหรับคนอย่างเรา…รู้อะไรมั้ย พวกเธอกับฉันก็ต่างกัน ความยุติธรรมสำหรับฉันหายากกว่าพวกเธออีกหลายเท่า”

“ยังไง…”

“พวกเธอเป็นคนมีบัตร พวกเธอถึงสามารถถ่ายรูปในชุดคนดอยได้ แต่ถ้าฉันไปใส่ชุดแบบนั้นเมื่อไหร่…ตำรวจก็จะจับฉันได้ทันที”

ฉันนิ่งอึ้งไป เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงแม้แต่น้อย

“ทุกวันนี้ ต่อให้ฉันคิดถึงชุดพวกนั้นแค่ไหน ฉันก็นุ่งมันไม่ได้หรอก…พวกเธอไม่เข้าใจหรอกเรื่องนี้”

“นวล…”

“ชื่อนี้ก็ไม่ใช่ชื่อจริงๆ ของฉัน”

มีก้อนเมฆไหลบ่ามาอย่างเร็วรี่ เหมือนวันที่เราอยู่ในสวนบวกหาดกันครั้งหนึ่งในวันนั้น แต่ก็มีก้านกิ่งไม้มากมายโถมทับกระเซ็นร่วมมา เช่นเดียวกับใบหญ้านับหมื่นๆ พันใบ ฉันเห็นเด็กสาวผมบ๊อบพยายามจะยืนหยัดอยู่ในพายุใบหญ้า ทว่า แม้แต่ตัวฉันเองก็แทบจะทรงตัวไม่ไหว

ความเข้าใจที่มากขึ้นผุดเกิดขึ้นอีกเป็นจำนวนมหาศาลในใจ มันเป็นความเข้าใจที่ไม่ต้องใช้ถ้อยคำอธิบายมากมายอีกต่อไป มันเป็นความเข้าใจจนฉันต้องไขว่คว้าหามือนั้นอีกครั้ง แต่มือนั้นก็สลัดออกโดยรวดเร็ว

เหลือแต่ความมืดมนเปล่าเปลี่ยว ต่อให้ฉันเข้าใจแล้วว่าฉันพอเข้าใจ แต่หล่อนก็คงแน่ใจ ว่าไม่มีใครเข้าใจหล่อนถึง

เราทุกคนคือทรายเม็ดหนึ่ง เพียงแต่ต่างปลิวมา…

อีกครั้ง ที่ฉันอดคิดไม่ได้ว่า ถ้าจะพูดอะไรอีกสักอย่างจากนี้ไป คงได้เพียงผ่านบทกวี…