ทวีปที่สาบสูญ : ที่ฉันเองมาสู่ตรงนี้ โดย การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์

มันคงไม่ง่ายเหมือนในนิยาย ฉันทำใจเอาไว้แล้วสำหรับช่วงเวลาเหล่านั้น ถามว่ากลัวไหม ถ้าไม่โกหกตัวเองก็คงต้องบอกว่า…กลัว แต่ฉันมีทางเลือกอื่นอีกหรือไม่ หากไม่นับเส้นเชือกที่เฝ้าแกว่งไกวอยู่ในความนึกคิดแล้ว

บางทีฉันก็คิดว่า ตัวเองไม่มีอะไรจะสูญเสียไปมากกว่านี้

เวลานี้ ฉันแค่ต้องทำอะไรสักอย่าง

…สักอย่าง

มันจะออกหัวออกก้อยอย่างไร เอาไว้วันข้างหน้าก็แล้วกัน

.

.

“ไปกันหรือยัง” คนตัวสูงหันมาถาม

ฉันพยักหน้า

 

เราออกมาจากห้องพักคับแคบแห่งนั้น ในตอนที่แสงอาทิตย์ยังคงสลัวรางอยู่ หมอกลงขมุกขมัว น้ำค้างยังพร่างพรมอยู่บนใบไม้ อากาศเช้าหนาวเย็นมาก แต่ฉันก็พยายามอดทน

คนในเสื้อเชิ้ตสีดำกวาดตาดูรอบๆ อย่างระแวดระวัง แต่ฉันพอรู้ว่าจะยังไม่มีใครเข้ามาในสวนมากนัก เว้นแต่คนที่ต้องทำงานในทุกๆ วัน

นั่นอย่างไร คนดูแลแปลงดอกไม้ คนกวาดขยะ พนักงานทำความสะอาด อีกหลายชีวิตที่เริ่มเข้างานกันแล้วอย่างขยันขันแข็ง และโน่น พะนาที่เดินเหมือนย่องขึ้นเนินมา ตัวหนาฟูอยู่ในเสื้อไหมพรมมอมๆ สวมหมวกอุ่นที่คงเคยมีสีชมพู

“อ้าว” เด็กหญิงหยุดเท้าพรืดเมื่อมองเห็นฉันเข้า “ทำไมออกมาแต่เช้า”

ฉันก็แปลกใจกับพะนาเช่นกัน

“เธอล่ะ ทำไมมาเร็ว”

พะนายิ้มเจื่อนๆ แต่ก็ไม่พูดอะไรสักอย่าง หากปรายตาดูคนตัวสูงอย่างรวดเร็ว

แต่ก่อนพะนาจะหันหลังผละจาก พี่นลก็คว้าข้อแขนไว้

“เดี๋ยวสิ”

พะนาชะงัก หน้าซีดเผือดลง

ฉันยังคงมองดูอย่างไม่เข้าใจ คนตัวสูงส่ายหัว พึมพำว่า

“นึกแล้วว่าต้องมาไม้นี้”

“…หนูไปก่อนนะ” พะนาสลัดแขน

แต่คนจับก็ไม่ปล่อย

“เขาให้มาเฝ้าดูหรือ”

พะนาไม่ตอบ ทีท่าอึกอักชัดเจน

“เขาให้เท่าไหร่”

ใบแดงปึกหนึ่งถูกล้วงขึ้นมาจากกระเป๋า พะนาเบิกตา คนร่างสูงยิ้มอยู่ในหน้า กรีดนิ้วกับสตางค์หลายใบ ก่อนจะส่งให้เด็กหญิงถึงสองใบ

“เอ้า พี่ให้ ยังไงก็ต้องมากกว่าใช่มั้ย”

พะนาทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ กึ่งจะปฏิเสธ แต่ก็ดูออกว่าเสียดาย ไม่รอช้า มือใหญ่ยัดใบแดงใส่มือเล็ก และรวบกำทั้งอุ้งไว้

“เอาไปเลย ถ้าเขาถามก็บอกว่าไม่รู้ไม่เห็น มาไม่ทัน”

“…คืออะไร” ฉันเหลียวไปดูคนข้างๆ พลันก็สว่างวาบขึ้น “พี่สร้อยสายจ้างให้มาส่องเฝ้าฉันหรือ”

พะนาหลบตาทันควัน ฉันเข้าใจกระจ่างแจ้งในทันทีนั้น อดผิดหวังวูบไม่ได้

“พะนา…ไม่นึกเลยว่า…”

“ช่างเถอะ รีบไปกันดีกว่า” คนตัวสูงตัดบท แล้วรีบลากข้อมือฉัน

แต่อีกมือโอบไหล่พะนา กึ่งบังคับพาไปด้วยกัน

“ดีเลย จะได้ไปกันสะดวกๆ หน่อย”

 

เราผ่านคนที่ทำงานกันอยู่ตามหน้าที่ตน โชคดีไม่มีใครสนใจใครเท่าไหร่ มีคนมองๆ มาอยู่บ้าง แต่หลายคนคงรู้จักพะนาและรู้ว่าฉันทำงานอยู่ด้วยกัน คนตัวสูงอาศัยจังหวะนั้น ทำเป็นเดินกอดคอซ้ายขวา ราวว่าเป็นญาติใกล้ชิดสนิทสนม

แต่จังหวะผ่านร่มไม้ต้นหนึ่ง ก่อนถึงโค้งสุดท้ายจะลงไปยังลานจอดรถข้างล่าง ก็ยินเสียงเรียกทักขึ้น

“พะนา!”

เด็กหญิงหยุดกึก ฉันใจหายวาบ

พี่นลเองหยุดเท้าทันที ชายหน้ากร้านมีรอยบากข้างแก้มเดินรี่เข้ามา ดูจากเสื้อผ้าคงเป็นคนงานในสวนคนหนึ่ง

“จะไปไหนรึ”

“น้า…เอ้อ…น้าเวียน!”

“ทำไมวันนี้มาแต่เช้า”

พะนาทำสีหน้าตอบไม่ถูก โธ่เอ๋ย นี่นะหรือคนที่อีพี่สร้อยสายใช้ให้มาเป็นสอดส่องฉัน แต่ก็มีอะไรอย่างหนึ่ง ที่ฉันสำเหนียกว่า พะนาดูไม่ชอบคนที่เข้ามาใกล้

“…จะไปข้างล่าง”

“ไปตรงไหน เดี๋ยวน้าไปส่ง”

“มะ…ไม่ต้องค่ะ” พะนาเบี่ยงตัว

แต่ชายนั้นยังไม่ลดละ แขนกำยำพาดเข้ากับไหล่เด็กหญิง

“พ่อตื่นหรือยังล่ะ”

พะนาทำสีหน้าเหมือนจะร้องไห้ มือข้างหนึ่งของฉันป่ายไปโดนมือสั่นเทาของเด็กหญิง และโดยฉับพลัน ปลายนิ้วเล็กๆ ก็ยึดเอามือฉันไว้

“พะนา…จะต้องไปธุระค่ะน้า”

มากกว่าความไม่ชอบ คือพะนากำลังกลัว

“อ้าว แล้วนี่ใคร” อ้ายคนผิวคล้ำคล้ายจะเพิ่งนึกได้

คนตัวสูงตีหน้าขรึม ฉันรีบตอบแทน

“…พี่เขามาที่ร้าน”

“เราเป็นเจ้าของร้านที่น้องเขาทำงาน” เสียงห้วนๆ พูดต่อ

“อ้าว” ชายหน้ากร้านหันไปหาเด็กหญิง “ไม่ใช่คนผมทองนั่นดอกรึ”

“นั่นพี่สาวเรา คุณล่ะ เป็นอะไรกับเด็กคนนี้?”

ชายหน้ากร้านเปลี่ยนท่าทางทันที

“งั้นเดี๋ยวตอนเย็นน้าค่อยไปหานะพะนา”

พูดจบก็รีบเดินออกไป

“ญาติเธอหรือ” พี่นลถามพะนา

“…มะ ไม่ใช่ค่ะ” พะนาสั่นหัวทันที “…เป็นเพื่อนพ่อ”

ยินคล้ายๆ เสียงรถแล่นขึ้นเขามา คนร่างสูงรีบดุนหลังฉัน เป็นสัญญาณให้ออกเดินต่อ

 

ถึงลานข้างล่าง ซึ่งเป็นที่จอดรถและตั้งร้านขายของเรียงราย มีทั้งซุ้มขายอาหารตามสั่ง ก๋วยเตี๋ยว และสินค้าของที่ระลึกมากมาย วันไหนจะซื้อข้าวผัด ส้มตำ อีพี่สร้อยสายก็จะใช้พะนาให้ลงมาซื้อตรงนี้ แต่ตัวฉันนั้นนางห้ามเสมอไม่ให้ลงมา

คงกลัวว่าฉันจะฉวยโอกาสลักหนีไป

ใจเต้นขึ้น ตอนนี้ฉันก็ทำมันแล้วจริงๆ

มองไปรอบตัว แต่ละร้านเริ่มทยอยกันมาจัดโต๊ะจัดตู้ พะนานั้นคงจะรู้จักผู้คนมากโขอยู่ มองไปทางไหนมีแต่คนส่งยิ้มให้ บ้างก็ทักทาย

“วันนี้เข้างานเช้าเชียวพะนา”

เด็กหญิงยิ้มแหยๆ ตอบ คงเพราะคนตัวสูงยังโอบไหล่เอาไว้

“บ้านเธออยู่ตรงไหนเหรอพะนา” ฉันถามขึ้น เพราะมองไปซ้ายขวาก็เห็นแต่ป่าไม้กับไหล่เขา ไม่เห็นบ้านคนสักหลัง แค่เคยได้ยินว่าบ้านพะนาอยู่ไม่ไกล

“ทางโน้น”

เด็กหญิงชี้มือไปทางหนึ่ง ไม่เห็นอะไรมากไปกว่ายอดไม้เขียวๆ

“อยู่กับใครหรือ” พี่นลถามขึ้น

“พ่อ”

“แล้วแม่ล่ะ”

พะนาหน้าเศร้าขึ้นแว่บหนึ่ง

“ไม่อยู่แล้ว”

“อ้าว แม่ไปไหน”

“แม่ไปขาย_ี”

คนตัวสูงทำเสียงเหมือนจะสำลัก ฉันเองเกือบเหมือนกัน

“แม่เป็นคนไม่ดี ถ้าพะนาเจอแม่ก็จะด่าเข้าให้”

อะไรสักอย่างพุ่งเข้ามาแทงปลาบในหัวใจ จนต้องหันไปดูหน้าเด็กหญิงอีกครั้ง แววตานั้นยังซื่อใส แต่ถ้อยธรรมดาๆ ราวว่าเป็นคำที่อยู่กับเด็กหญิงมาชั่วชีวิต…

เงียบงันกันไปหมด

จนพักหนึ่ง จึงยินเสียงถามพะนาว่า

“แล้วพ่อดีกับหนูมั้ย”

“ดีค่ะ เรานอนด้วยกันทุกคืน แต่พ่อชอบตื่นสาย กินเหล้าทุกวัน”

“พ่อทำงานอะไร”

“ตอนนี้ไม่ได้ทำค่ะ พ่อขาไม่ดี พะนาทำงานหาเงินให้พ่อเอง”

น้ำเสียงฟังภาคภูมิใจ แต่ประโยคที่ตามมาทำให้ฉันใจหายวาบ

“พ่อดีกับพะนามากๆ จะหนาวจะร้อน พ่อก็แก้ผ้านอนกับพะนาตลอด พ่อบอกว่าจะทำให้เราสองคนแข็งแรง”

มีเสียงอุทานสบถในลำคอคนตัวสูง

“แต่พะนาไม่ชอบ…ไม่ชอบให้คนอื่นมาแก้ผ้าอีก คนอื่นทำพะนาเจ็บ…”

ฉันรู้สึกขนลุกยะเยือก มือจิกลงในอุ้ง ทะลุปรุโปร่งในตอนนั้นว่า ชายหน้าบาก…คงเป็นหนึ่งในคนที่เคยแก้ผ้าพะนามาก่อน
พี่นลกัดกรามจนเห็นนูนเด่นเป็นสัน ขณะจูงแขนฉันเร็วแทบเป็นกระชาก

สี่ล้อแดงคันหนึ่งเลี้ยวขึ้นมาถึงพอดี

“นี่มันบัดซบมากๆ!” พี่นลพูด “เราต้องไปแจ้งความ”

แว่วเสียงพี่นลชะโงกบอกคนขับถึงจุดหมายปลายทาง แสงตะวันฉายสว่างขึ้นทุกทีแล้ว หัวเล็กๆ ของพะนาชะเง้อมองมาจากลานข่วง เหมือนฝุ่นสีแดงเข้าไปอัดแน่นอยู่ในอกใจ ฉันได้แต่สอดมือเข้าในกระเป๋ากางเกงตัวเอง กำม้วนสตางค์รัดหนังไว้แน่น

ฉันเสียใจจริงๆ พะนา ฉันรู้ว่าตัวเองก็เห็นแก่ตัว ฉันรู้ว่าต้องมีหลายคืนหลายวันที่เธอหวั่นกลัว แต่ฉันก็คงยังช่วยเธอไม่ได้

คนตัวสูงกระโดดขึ้นมานั่งเบาะข้าง ยามที่รถถอยท้ายเพื่อจะกลับหัวแล่นลง เพื่อจะจากไป ซึ่งเราต้องรีบไปก่อนอีพี่สร้อยสายจะขึ้นมา

“ออกมาได้แล้วนะ ดีใจมั้ย” พี่นลคว้ามือฉันไปบีบ

ฉันได้แต่พึมพำว่า “ค่ะ”

“ลงถึงข้างล่างเมื่อไหร่ก็ปลอดภัยแล้ว”

แต่จริงๆ แล้วนาทีนั้นเองที่ฉันเกือบจะแน่ใจได้ว่า มันไม่มีที่ไหนจะปลอดภัยหรอกกระมัง…มันไม่มี เพราะอย่างที่ฉันเองมาสู่ตรงนี้ และการที่พะนาต้องแก้ผ้าทุกคืน…

“อ้าว ง่วงหรือ”

ฉันแค่อยากหลับตา…