มนัส สัตยารักษ์ | วานป๋าพูด “กลับไปนอนเถอะลุง”

วิกฤตการณ์ “ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่” ระบาด ทำให้สาธารณรัฐประชาชนจีนประสบกับเคราะห์กรรมครั้งใหญ่อีกครั้งหลังจากที่ถูกโจมตีด้วยโรคระบบทางเดินหายใจเฉียบพลัน หรือ “ซาร์ส” (SARS) ระบาดเมื่อมีนาคม 2003 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตไปเกือบ 800 คน

บทเรียนจากซาร์สทำให้จีนรับมือโคโรนาอย่างมีแบบแผนและระบบ สั่ง “ปิดเมือง” อู่ฮั่นและเมืองใกล้เคียงอย่างน้อย 13 เมือง

ปิดสถานที่สาธารณะบางที่ เช่น โรงภาพยนตร์ สวนสนุกและวัด

รวมทั้งห้ามชาวจีนเดินทางท่องเที่ยว สั่งจองตั๋วเครื่องบินและที่พักต่างต่างประเทศ รวมทั้งหยุดการจำหน่ายตั๋วทัวร์

ขณะเดียวกันจีนได้แสดงศักยภาพอันยิ่งใหญ่ปรากฏต่อสายตาโลกอย่างน้อย 2 ประการ

ประการแรก จัดแพทย์ทหารและเจ้าหน้าที่สาธารณสุขกว่า 400 ลงไปยังเมืองอู่ฮั่น ประหนึ่งไป “ออกรบ”

มีคลิปภาพชาวเมืองเปิดหน้าต่างตึกและเปิดไฟ มีภาพตำรวจร้องเพลงเชียร์และเพลงปลอบใจประชาชน

ประการที่สอง จีนสร้างโรงพยาบาล 1,000 เตียง ที่เมืองอู่ฮั่นเสร็จใน 10 วัน!

แต่ถึงกระนั้น สหรัฐอมเริกายังออกข่าวเป็นเชิงเพิ่มกระแสสร้างความน่าหวาดกลัวต่อการแพร่ระบาดของไวรัสโดยไม่สมเหตุสมผล เสนอให้อพยพทูต และสหรัฐเป็นประเทศแรกที่สั่งห้ามนักท่องเที่ยวจีนเข้าประเทศ

ก่อนหน้านั้น (28 มกราคม) สหรัฐเริ่มอพยพคนอเมริกันออกจากเมืองอู่ฮั่น นี่ก็น่าจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ชาติอื่นๆ ตื่นตระหนกตกใจ แล้วบางชาติก็นำมาเป็นประเด็นเพื่อใช้ในการ “ทิ่มตำ” ฝ่ายตรงข้ามในทางการเมือง

ประเทศไทยไม่ได้เป็นศัตรูหรือเป็นฝ่ายตรงข้ามกับประเทศใดอย่างเปิดเผย (เช่น จีนกับสหรัฐอเมริกา) ประเทศไทยเพียงแต่คนในชาติทะเลาะกันเองเท่านั้น ดังนั้น ประเด็นต่างๆ ที่เป็นกระแสขึ้นมาคนไทยจึงแค่โยงมาทิ่มตำกันเอง

ตัวอย่างใกล้ตัวที่สุดในช่วงเวลานี้ก็คงจะเป็นเรื่องของ ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่แพร่ระบาดนี่แหละ และประเด็นที่จำเพาะเจาะจงที่สุดก็คือประเด็น “พาคนไทยกลับบ้าน”

 

ร.ท.หญิง สุนิสา ทิวากรดำรง รองโฆษกพรรคเพื่อไทยออกมาให้สัมภาษณ์และโพสต์ข้อความในสื่อโซเชียล เร่งรัด เยาะหยัน แนะใส่ปี๊บคลุมหัว ไล่จิกและสับ รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กรณีไม่ส่งเครื่องบินไปรับคนไทยในเมืองอู่ฮั่นกลับบ้าน

งานของ “เจ้าประจำ” รายนี้จะเป็นผลบวกหรือลบ เพียงใด หรือไม่ ไม่ได้ประเมิน

จากนั้น “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร บุตรสาวของทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ภาพข่าวของบิดาสมัยที่เป็นนายกรัฐมนตรี บนเฟซบุ๊กส่วนตัว ว่าได้สั่งการให้ทางการไทยเตรียมเครื่องบินไปรับคนไทยกลับบ้านอย่างเร่งด่วน หลังเกิดเหตุชาวกัมพูชาบุกเผาสถานทูตไทยในกัมพูชา

ใต้ภาพข่าวระบุข้อความที่ทักษิณพูดกับผู้สื่อข่าว “ผมได้พูดย้ำกับนายกฯ กัมพูชาว่าขอให้คุ้มครองคนของเรา พรุ่งนี้เช้าฟ้าสางเราจะส่ง ซี 130 พร้อมคอมมานโดเพื่อไปคุ้มครองคนของเรากลับมา หวังว่าท่านจะดูแลคนของเราอย่างปลอดภัย…”

ดูเหมือนจะไม่ได้ทิ่มตำใคร แต่ก็เท่ากับเปรียบเทียบให้เห็นความแตกต่างอย่างสุดขั้ว ระหว่างผู้นำชื่อทักษิณกับผู้นำชื่อประยุทธ์!!

การพูดถึงเรื่อง “พาคนไทยกลับบ้าน” อาจจะเป็นส่วนหนึ่งในหลายๆ ส่วนที่ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์กลับไปเป็นคนจุดเดือดต่ำอีกหลายครั้ง เกรี้ยวกราดเอากับทุกคนไม่เลือกหน้า ไม่เลือกกระทั่งคนที่บังเอิญเปิดทีวีดูอยู่ที่บ้าน!

พล.อ.อ.มานัต วงษ์วาทย์ ผบ.ทอ. ออกมาชี้แจงรายละเอียดของเหตุผล ซึ่งขึ้นอยู่กับประเทศเจ้าบ้านที่จะอนุญาตให้เข้าไปใช้ห้วงอากาศและลงไปในพื้นที่ เพราะเป็นเรื่องของความมั่นคง เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการสนับสนุนหลังจากที่เครื่องบินลงไปถึงพื้นแล้วจะมีการเติมน้ำมัน สตาร์ตเครื่องยนต์ หรือซ่อมบำรุงเป็นบางส่วน มีความพร้อมที่ปลายทางหรือไม่ บางประเทศก็ไม่ยินดีที่จะให้เครื่องไปลง เพราะเขาไม่สามารถดูแลและบริการได้ ถือเป็นเหตุผลที่ประเทศเจ้าบ้านจะต้องพิจารณาด้วย

ทางฝ่ายประชาชนคนไทยต่างก็ตระหนักดีถึงสถานะและความแตกต่างระหว่างประเทศจีนกับประเทศกัมพูชา

นอกจากนั้น ยังรู้รายละเอียดลึกซึ้งถึงบริบทของแต่ละเหตุการณ์ที่ต่างกันอย่างคนละเรื่อง

เพจของอุ๊งอิ๊งเพียงแต่ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์อารมณ์เสียไปลำพังผู้เดียวเท่านั้น ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนและไม่ได้ทำให้ประเทศชาติเสียหายไปแต่อย่างใด

นอกจากนั้น เมื่อเปิดเผยถึงรายละเอียดเบื้องหลังของการประสานงานระหว่าง พล.อ.วิชิต ยาทิพย์ ของไทย กับ พล.อ.เตียบัน ของกัมพูชา กลับทำให้ความเป็น “ตำนาน” ของทักษิณ ชินวัตร ลดน้อยถอยลงไปด้วยซ้ำ

ถ้าจะมองกันอย่างเป็นธรรม เชื่อว่าสังคมไม่อาจลงโทษ น.ส.แพทองธารได้แม้แต่น้อย เพราะเธอเพียงแต่ทำสำเนาถ่ายทอดข่าวจากสื่อเก่าเท่านั้น ไม่ได้มีการ “สร้าง” ข่าวอย่างที่เรียกกันว่าเฟกนิวส์ ไม่ได้ใส่สี ตีไข่ แต่งเติม หรือบิดเบือนแม้แต่น้อย

แม้เจตนาจะเป็นที่ตระหนักชัดว่า เพื่อเปรียบเทียบภาวะการเป็นผู้นำของ 2 นายกรัฐมนตรีก็ตาม พล.อ.ประยุทธ์ก็ไม่น่าจะมีสิทธิ์ออกอาการโกรธเกรี้ยวเอากับผู้สื่อข่าวที่แสร้งสอบถามเพื่อ “เสี้ยม” ตามอุดมการณ์ของเขา

พล.อ.ประยุทธ์ควรตอบผู้สื่อข่าวด้วยใบหน้าเรียบเฉยว่า “กลับไปนอนเถอะลูก”

นึกถึงเมื่อครั้ง พล.อ.ประยุทธ์ไปกล่าวปราศรัยที่ UN เรื่อง “หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า” ซึ่งดัดแปลงชื่อเรื่องมาจาก “30 บาทรักษาทุกโรค” อันเป็นแนวคิดของ นพ.สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า คนแรก

ไม่แมนเลย…

พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้เอ่ยชื่อของนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร หรือ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ยังพอเข้าใจได้ แต่ที่ไม่เอ่ยชื่อของ นพ.สงวน ยากที่จะเข้าใจ

ดังนั้น คำชี้แจงของ พล.อ.ประยุทธ์ในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร เมื่อตุลาคม 2562 จึงมีแต่คำว่า ใส่สี ตีไข่ แต่งเติม บิดเบือน และปกปิด กระจายอยู่เต็มไปหมด

อ่าน “30 ข้อกล่าวหา ซักฟอกบิ๊กตู่” ที่จะใช้ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีในปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้แล้วหนักใจแทน

วานป๋า (พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์) พูด “กลับไปนอนเถอะ-ลุง”