อุรุดา โควินท์ / ทางรอดอยู่ในครัว : แตงกวาเต็มจาน

ฉันชวนครูโยคะกินข้าวด้วยกัน ไหนๆ ก็เที่ยงแล้ว บ่อยๆ ที่เราพากันไปหาอะไรอร่อยๆ กิน อาหารอินเดียบ้าง ก๋วยเตี๋ยวเนื้อบ้าง แต่วันนี้เราต่างเห็นพ้องว่าอยากกินอะไรง่ายๆ ถ้าเป็นไปได้ เราไม่อยากออกจากบ้าน

ในจังหวัดเชียงราย เราหาซื้อหน้ากากและเจลล้างมือไม่ได้แล้ว ร้านขายยาเกือบทุกร้าน ติดป้ายหน้าร้านว่า ไม่มีหน้ากากและเจลล้างมือขาย ฉันค้นเจอในลาซาด้า อันละ 169 บาท เป็นราคาที่ฉันไม่กล้ากดซื้อ

ตอนที่ยังไม่มีไวรัสระบาด ฉันเคยซื้อแบบเดียวกัน แพ็กละ 149 บาท หนึ่งแพ็กมี 3 ชิ้น

ฉันเล่าให้ครูจ๋าฟัง

ครูจ๋าว่า “ไม่ใช่ขี้เหนียวโนะพี่ แต่เราไม่มีเงินซื้อมั้ย อันละ 169 บาท ใช้ไม่เกิน 6 ชั่วโมง ต้องทิ้ง”

บนเสื่อโยคะ จ๋าเป็นครู ในชีวิตประจำเป็นเธอเหมือนน้องสาวคนหนึ่ง เธอเพิ่งกลับจากเชียงใหม่ ฉันฝากเธอซื้อหน้ากาก เพราะคิดว่าที่นั่นอาจจะเหลือ แต่จ๋าบอกว่าหมดเกลี้ยงทุกร้าน อย่าว่าแต่หน้ากาก 3M เลย หน้ากากอนามัยธรรมดาก็แทบไม่มี

ทุกร้านบอกว่าคนจีนมากว้านซื้อไปหมด บางทีฉันก็อยากถามร้านว่า ทำไมไม่แบ่งๆ กันซื้อ ขายแบบจำกัดจำนวนก็ได้นะ ครั้นไปถึงร้านที่ 6 ยังได้คำตอบเหมือนเดิม ฉันก็เริ่มหัวร้อนใส่คนกว้านซื้อ หน้ากากมีความจำเป็นจริงๆ โดยเฉพาะในเมืองท่องเที่ยว

“พี่เห็นรถทะเบียนจีน 10 คัน ในปั๊มเส้นพหลโยธิน ถ้าไม่ไปเชียงใหม่ก็คงเป็นกรุงเทพฯ จริงๆ ก็น่าเห็นใจ เป็นเรา เราก็อยากหนี แต่คำว่าโรคระบาด ถ้าไม่ป้องกันอย่างถูกต้อง หนีไปที่ไหนก็อาจเจอความสำคัญน่าจะอยู่ที่การป้องกัน ใส่หน้ากาก ล้างมือบ่อยๆ ทำร่างกายให้แข็งแรง”

“เราถึงต้องฝึกโยคะไงพี่” จ๋าว่า

และต้องหาหน้ากากให้ได้ด้วย

 

ฉันพยายามใช้ชีวิตในบ้าน เพื่อใช้หน้ากากน้อยที่สุด แต่ถึงยังไง เราก็ต้องไปตลาด ซื้อของมาใส่ตู้เย็น และทุกคนล้วนมีธุระที่ต้องออกจากบ้าน รวมทั้งต้องเดินทางโดยเครื่องบิน

“เพื่อนหนูที่เป็นแอร์บอกว่า ตอนนี้คาร์โก้เต็มไปด้วยหน้ากาก ส่งออกหมดเลย แล้วตอนที่หนูอยู่เชียงใหม่ มีคนจีนเข้ามาในร้านนวด เขาถามพนักงานว่า เขาเป็นคนจีน จะต้อนรับเขามั้ย น่าสงสารอ่ะพี่”

ใช่ น่าสงสารจริงๆ นั่นล่ะ “แล้วเขาใส่หน้ากากมั้ย”

“ใส่ค่ะพี่”

ฉันถอนหายใจ คลายความอึดอัดใจออกมา อันที่จริง ไม่ว่าชาติใด เราก็เป็นหนึ่งมนุษย์เหมือนกัน มีโอกาสแพร่เชื้อ และติดเชื้อ ที่เราทำได้คือดูแลตัวเองเท่าที่สามารถ การใส่หน้ากากถือเป็นการรับผิดชอบต่อเพื่อนมนุษย์อีกด้วย

“พี่ยังไม่ได้จ่ายตลาดนะ แต่คิดว่า เราต้องทำอะไรกินได้ล่ะ จากของในครัว”

มีไข่เค็มดิบ มีแตงกวา และมีไข่ไก่ ดูเหมือนจะมีเท่านี้

“จะกินผัดแตงกวาใส่ไข่ หรือจะไปตลาดดี” ฉันถามเธอ

“หนูไม่อยากไปที่คนเยอะๆ เลยพี่ หนูเป็นภูมิแพ้อยู่ด้วย ติดเชื้อง่ายมาก”

ผัดแตงกวาเป็นหนึ่งในจานประจำใจฉัน แต่หลายคนไม่ชอบกิน

“ผัดแตงกวากินได้มั้ย”

“ได้สิพี่ พี่ทำอะไรก็อร่อย”

 

นอกจากผัดแตงกวา เรามีไข่เค็มดาวอีกอย่าง ล้างแตงกวาให้สะอาด ปอกเปลือก หั่นเฉลียงๆ เป็นชิ้นรอไว้

พอข้าวสุก ฉันทอดไข่เค็มดาวก่อน น้ำมันพอประมาณ ไม่ต้องรอร้อนจัด ตอกไข่ใส่ถ้วย แล้วเทลงน้ำมันอย่างนิ่งๆ ใช้ไฟกลางค่อนไปทางอ่อน ยืนให้ห่างเตาหน่อย เพราะน้ำมันมักกระเด็นตอนทอดไข่เค็มดาว พอขอบเริ่มเป็นสีน้ำตาลก็เอาขึ้นจากกระทะได้เลย

ผัดแตงกวาที่เรากินในโรงอาหารโรงเรียนมักไม่อร่อย ฉันไม่แน่ใจว่าเพราะอะไร ตอนนั้นฉันยังไม่ประสาเกี่ยวกับอาหาร จำได้แต่ว่า เป็นผัดผักที่มีน้ำเยอะมาก เยอะเกินไป และไม่มีรสชาติเอาเลย

ฉันผัดโดยใช้น้ำมันจากการเจียวเบคอน ใช้น้ำมันแค่นิดหน่อย ใส่กระเทียมสับลงกระทะพร้อมกับแตงกวา เร่งไฟแรง ผัดสักห้าหกครั้ง ก็ใช้ตะหลิวแหวกที่ว่างกลางกระทะ ตอกไข่ลงไปสองฟอง ตีไข่ให้แตก รอไข่ด้านล่างสุก ค่อยพลิกไข่ ครั้นไข่สุกทั่วกันแล้ว จึงคนทั้งกระทะอีกที

ปรุงรสด้วยน้ำมันมันหอย เกลือ ซีอิ๊วขาว และน้ำตาลนิดหน่อย ผัดแค่พอสุก ให้แตงกวายังกรอบอยู่ จะอร่อยมาก

ปิดเตา โรยพริกไทยขาว แล้วฉันก็ตักใส่จาน

หาจานเล็กอีกสองใบ ใส่ไข่เค็มดาว ชวนจ๋ามานั่งที่โต๊ะ

“เห็นมั้ย หนูบอกแล้วพี่ทำอะไรก็อร่อย ผัดแตงยังอร่อยเลย”

“เพราะว่าเราหิวด้วยนะ” ฉันหัวเราะ

“และมันดีมากๆ ที่เราไม่ต้องไปเจอคนพลุกพล่าน ช่วงนี้เราคงต้องอยู่เฝ้าถ้ำกันนะพี่”

 

ผัดแตงกวาวันนี้อร่อยเป็นพิเศษจริงๆ ฉันผัดเต็มจานใหญ่ เรากินจนหมด อาจเพราะเราหิว และรู้สึกดีที่ได้กินข้าวที่บ้าน

“มีครัวมันก็ดีอย่างนี้ล่ะ เสียแต่พี่ไม่ค่อยชอบตุนวัตถุดิบทีละมากๆ”

จ๋าขมวดคิ้ว “แต่เดือนหน้าหนูต้องไปสอนภูเก็ต ไปตั้งอาทิตย์หนึ่ง สนามบินภูเก็ตคนจีนผ่านเยอะมาก”

ฉันหัวเราะ ฉันเพิ่งเดินทางโดยผ่านสุวรรณภูมิมาสดๆ ร้อนๆ

“เราหยุดทุกอย่างเพราะไวรัสไม่ได้หรอกจ๋า มีงานก็ไปทำ มีธุระก็ต้องเดินทาง”

“ก็จริงค่ะพี่ ระวังตัวเองมากๆ สร้างภูมิต้านทานโนะ”

“อย่าลืมทำกับข้าวกินเองด้วย เราจะผ่านมันไปด้วยกัน” ฉันบอกเธอ

ฉันเข้าใจเธอ ไม่มีใครอยากป่วย โดยเฉพาะคนที่ไม่มีเงินเดือนประจำ และไม่มีประกันชีวิตอย่างพวกเรา