การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ ในชั่วพริบตาหนึ่ง

ฉันถามตัวเองว่า กำลังรู้สึกยังไงกับชีวิตในแต่ละวันที่เป็นอยู่

ดูเหมือนว่า เมื่อใช้ชีวิตผ่านมาเรื่อยๆ สิ่งหนึ่งที่อยู่กับฉันจนกลายเป็นอุปนิสัย คือการตั้งคำถามภายในขอบเขตใจตัวเอง

มันเป็นสิ่งที่เริ่มเกิดขึ้นเอง…เกิดขึ้นเสมอมา จนยากจะย้อนกลับไปดูได้ว่า มันตั้งต้นเมื่อไหร่ ดังในตัวฉันมีโลกอีกใบหนึ่ง ซึ่งทั้งแคบทั้งกว้าง บางครั้งเหมือนแค่ช่องตื้นๆ แต่บางคราวก็ราวจะลึกสุดแสน

ลึกเท่าไหน…ก็เท่าที่จะค้นหาใจตัวเองไม่เจอ หลายครั้ง ฉันยังรู้สึกขนาดนั้น

อีกวัน และอีกวัน ที่ทำงานอยู่ในร้านข้าวต้มโต้รุ่งข้างถนน ทำในสิ่งซ้ำๆ ดั่งเช่นคนอื่น พากันตื่นบนหลังโต๊ะเย็นๆ กระโดดลงมาล้างหน้าแปรงฟัน เข้าสู่รอบการจัดโต๊ะ จัดร้านใหม่ ล้างถ้วยไหจานชาม รับคำสั่งจดรายการอาหาร ยกถาดอาหารไปเสิร์ฟ วนสู่การเก็บโต๊ะ เช็ดโต๊ะ เอาถ้วยจานช้อนมาลงในอ่างน้ำแฟ้บ

มือฉันแสบ ขาฉันตึง ปวดเมื่อยลงถึงส้นเท้า รู้ด้วยว่าฝ่าอุ้งเท้าเมื่อยล้าแค่ไหน และส้นตีนแตกระแหงไปทุกวัน

คนที่อยู่มาก่อนนั้น มีสตางค์ซื้อรองเท้าใหม่ใส่กันบ้างแล้ว แต่มีฉันกับดอกมะลิที่ยังคีบรองเท้าแตะเก่าๆ

จนวันหนึ่ง นายจ้างก็พูดว่า

“เกือกคีบน่ะ มันดีดขี้ฝุ่นขึ้นเน้อ เปลี่ยนเป็นแบบสุบเสียได้ก็ดี!”

ดอกมะลิเหลียวมองหน้าฉัน ส่วนฉันรู้ได้ทันทีว่ามีความหมายถึงใคร

ลุกขึ้นจากตั่งเตี้ยที่นั่งล้างถ้วย เช็ดมือลวกๆ กับกางเกง ฉันอ้าปากจะพูดกับนายจ้าง

มะลิรู้แกวทันที เด็กสาวรีบรั้งแขนฉันไว้

“ไม่ต้องพูดอะไรหรอก เดี๋ยวเราไปซื้อกัน”

“มะลิ” ฉันจ้องหน้าเพื่อนร่วมงาน “มันตั้งหลายเงินนะ”

“อือ ก็ใช่น่ะซี”

“เขาจ้างเราเท่านี้ ถ้าต้องซื้อเกิบเองอีก เราจะเหลืออะไร”

“ก็มันเป็นการลงทุน” ดอกมะลิว่า “ที่ผ่านมาเขาก็ยอมๆ ให้เรานี่ เงินวีกออกเราก็ซื้อได้แล้ว”

ฉันยังไม่ใช่คนคิดเลขเก่ง แต่ค่าแรงต่อวันกับการซื้อรองเท้าใหม่หนึ่งคู่ อย่างน้อยๆ ก็ต้องใช้เงินกว่าครึ่งจากที่จะได้ ดอกมะลิพูดว่ามันคือการลงทุน ข้อนั้นฉันเข้าใจ ฉันเองต้องซื้อผ้าห่มหนึ่งผืน เสื้อผ้าใหม่อีกสองสามตัว เพื่อมีไว้ผลัดเปลี่ยนสวมใส่ เมื่อไม่ใช่งานในไร่นา ก็ต้องระวังว่าคนอื่นจะสาบกลิ่นเหงื่อไคล

กระนั้น มันไม่ง่ายที่จะควักกระเป๋าจ่ายอีก

ใบเขียวใบแดงที่ซุกซ่อนเก็บไว้ ถ้าไม่มีมาเติม หากหมดสิ้นลงวันใด ทางไปของฉันคงจะตีบตันกว่านี้อีก

เงินคือส่วนหนึ่งของอิสรภาพ ฉันตระหนักขึ้นชัดอีกอย่าง

ต่อให้ไม่ชอบการมีชีวิตอยู่แค่การทำมาหาเงิน เราก็ต้องหาเงิน ต้องพยายามเก็บเงิน เพื่อแลกซื้อสิ่งยิ่งใหญ่ที่สุดให้กับตัวเอง

สิ่งนั้นนั่นแหละ ที่ฉันตั้งความหวังไว้ในใจตัวเอง สิ่งเดียวสุดที่อยากได้

…อิสรภาพ

 

เด็กสาวผมบ๊อบคนนั้น ยังคงแสดงความไม่พอใจในตัวฉัน และดังว่า เหตุการณ์ที่ผ่านไปก่อนหน้า เป็นลิ่มตอกแทงให้เกิดช่องว่างแยกห่างยิ่งขึ้น

เดินเฉียดกรายกัน ก็จะรู้สึกได้ในความขุ่นมัว

แต่เหมือนทุกคนก็รู้กันทั่ว และคอยระวังห่างๆ ไม่ให้เกิดกระทบกระทั่งกันอีก

จนถึงวันหนึ่ง ซึ่งเป็นยามใกล้รุ่งที่ทุกคนขึ้นประจำโต๊ะนอน ฉันเองกำลังจะนอน ก็ได้ยินเสียงสูดสะอื้นเบาๆ

เหลียวมองมะลิที่อยู่หลังโต๊ะใกล้ๆ เด็กสาวนอนอ้าปากกรนครืดคราดไปแล้ว กวาดตามองรอบร้าน ทุกร่างเงียบงันอยู่กับความหลับใหล

เว้นแต่ในจุดจุดหนึ่ง ซึ่งฉันมองเห็นความเคลื่อนไหวรางๆ

จนพักหนึ่ง ร่างนั้นก็ผลักผ้าห่มออก คล้ายจะมีเสียงสูดน้ำมูกอีก ก่อนจะปีนลงจากโต๊ะอย่างระมัดระวัง

เห็นหลังไวๆ ไปทางเข้าห้องส้วม

ฉันผลักผ้าห่มออกบ้าง โดยไม่ได้ตั้งใจ แค่ทำไปตามสัญชาตญาณ

 

สิ่งที่รบกวนใจฉัน ทั้งที่ฉันเองไม่จำเป็นจะต้องสนใจมัน คือคนบ๊อบชังฉันเพราะอะไร

ใช่ว่าฉันจะชังคนไม่เป็น แต่ที่ผ่านมา ถ้าเราจะชังใครสักคนก็ย่อมมีเหตุผลในนั้น กับคนที่เพิ่งพบเพิ่งรู้จักกัน ฉันยังไม่เคยแม้แต่จะทำอะไรให้ ทำไม ถึงขนาดมาตบหน้ากัน

แต่ในท่ามแสงไฟรุบหรู่ เมื่อจรดเท้าออกพ้นชายคาร้าน ก็เห็นภาพที่ไม่คิดว่าจะเห็น

“เฮ้ย!”

ฉันกระโจนพรวดทันที และกระชากร่างนั้นไว้

ผ้าขาวม้ายังไม่ทันได้กระตุกบ่วง…บ่วงที่ผูกไว้ยังดึงไม่สำเร็จ แต่นั่นคือโชคดีหรือโชคร้าย หัวใจของฉันเต้นเร็วแรงจนเหมือนโลกสะเทือนทั้งใบ

“…เธอจะทำอะไรน่ะ!”

“อย่ามายุ่งกับชั้น!” พร้อมการดิ้นรนผลักไส แต่ฉันก็รัดร่างนั้นเอาไว้เต็มแรง

จนเกือบจะล้มกลิ้งลงตามกัน

 

เก้าอี้ที่เด็กสาวก้าวขึ้นไปเหยียบ ล้มลงตะแคงเค้เก้ ผ้าขาวม้าหล่นลงบนพื้น ประตูห้องน้ำเปิดอ้า ดีที่ฉันเห็นเข้า ว่าหล่อนกำลังพยายามทำอะไร

ใจกล้า…หล่อนใจกล้ามากเลยใช่มั้ย จนแน่ใจว่าจะไม่มีใครตื่นมาขัดขวางทัน

หรือว่าเพราะหล่อนอ่อนแอ ถึงพยายามจะทำอย่างนั้น

ฉันเห็นตอนที่เด็กสาวกำลังโยนผ้าขาวม้าขึ้นไปพันกับขื่อ หล่อนยืนบนเก้าอี้ เปิดประตูห้องส้วมทิ้งไว้ คงหวังอาศัยแสงไฟจากข้างนอกส่องถึง

โง่…ช่างโง่สิ้นดี

โง่ที่ทำอย่างนี้แล้วเป็นฉันมาเห็น

มีความรู้สึกบางอย่างพุ่งขึ้น…ฉันไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร

“อย่าทำอะไรโง่ๆ นะ!”

“ปล่อย!” เด็กสาวสะบัดอีก “แล้วเธอมายุ่งกับชั้นทำไม!”

“อยากตายนักหรือไง!”

“ก็ใช่นะสิ! ถอยไปซี่!!”

 

ช่างน่าแปลกนัก ทั้งๆ ที่เกิดเสียงดังอยู่โครมคราม แต่ดังกับทั้งโลกยังมีเพียงเราเท่านั้น ฉันกับเด็กสาวที่กำลังดิ้นรนอยู่ในอ้อมกอด

ฉันเอี้ยวตัวถีบประตูจนหับสนิท ก่อนจะหันกลับมา กอดร่างนั้นแนบชิดเข้าอีก

กลิ่นอับเหม็นในห้องส้วมปะทะเข้าเต็มจมูกเราทั้งคู่ ฉันรู้ดี แต่ก็ไม่มีอะไรอื่นอีกนอกจากเสียงสะอื้นและน้ำตา

เด็กสาวตัวสั่นเทา แขนที่ผลักไสกลายเป็นสอดกอดฉันไว้แนบแน่น

จนยินเสียงฝีตีนวิ่งมา ตามด้วยเสียงเรียก

“…นวล! นวล! มีอะไร!”

เด็กสาวชะงักเสียงทันที ตัวแข็งทื่อขึ้น

“นวล! เธออยู่ข้างในเหรอ เป็นอะไร”

“บอกไปสิ” ฉันกระซิบข้างหู

“…มะ ไม่มีอะไร” เด็กสาวสูดน้ำมูก “…ส้วมอยู่”

“ได้ยินเสียงดังนี่ มีอะไรมั้ย…เธออยู่ในนั้นกับใคร?”

“…ไม่มีใคร เดี๋ยวเสร็จแล้วจะออกไป”

“นึกว่าหกล้ม” ยังมีเสียงแสดงความห่วงใย น่าจะเป็นเพื่อนคนสนิทของเจ้าหล่อน

“…ไม่มีอะไร เดี๋ยวออกไป”

“อือ งั้นก็แล้วไป”

พักหนึ่ง เสียงฝีเท้าก็ห่างไป แล้วความเงียบก็กลับมา

 

“ปล่อยได้แล้ว” เด็กสาวผลักตัวฉัน แต่หนนี้ เพียงแต่เบาๆ “เหม็นส้วมจะตายอยู่แล้ว”

“อ้าว ไหนว่าอยากจะตายในนี้”

เด็กสาวเงื้อมือทันที แต่ฉันก็รู้แล้วว่าจะรวบจับให้ทันอย่างไร

“อย่านะ อยากให้ใครๆ รู้เหรอ ว่าเธอคิดจะทำอะไร”

“ทำไมล่ะ! นี่มันชีวิตฉันนะ!”

“หึ” ฉันแค่นเสียงให้

“เธอเกลียดฉันอยู่ไม่ใช่เหรอ จะรีบตายไปทำไม”

ตากลมเงยขึ้นจ้องฉัน

“แล้วเธอมายุ่งกับชั้นทำไม!”

“ฉันไม่ให้เธอตายง่ายๆ หรอก” ฉันหมายความตามนั้นจริงๆ “ตัวฉันก็พยายามมาหลายครั้ง ยังไม่เคยตายได้สักที”

“…ว่าไงนะ”

 

มันอาจจะมีสิ่งที่เราไม่อาจเข้าใจได้ ในอาณาจักรใจของเรานี้ กับการที่บางสิ่งบางอย่างอุบัติขึ้น เพื่อให้เราได้พบกับบางคน…บางอย่าง หรือบางเส้นทางใหม่ๆ

อย่างทันทีทันใด ที่ฉันกับเด็กสาวผมบ๊อบ กลับกลายเป็นคนมองทะลุกันและกันจนถึงก้นบึ้ง หล่อนไม่ใช่คนเชื้อชาติไทย พูดคำพื้นถิ่นได้ แต่อ่านแทบไม่ออก เขียนแทบไม่ได้ การที่จะพอรับบิลได้ คือวิธีจดจำว่าลูกค้าต้องการอะไร แล้วจึงแอบเอากระดาษไปให้เพื่อนเขียนอีกที

หล่อนกลัวความลับข้อนี้จะรั่วไหล และโกรธที่ฉันอ่านออกเขียนได้คล่องกว่า แต่นั่นยังไม่ใช่เหตุผลกับการพยายามจะลาโลกไป

หล่อนเพิ่งฝากเงินกลับไปให้พ่อ-แม่ แต่ได้รู้ว่า พ่อ-แม่ตายเสียแล้วในกองไฟ มีข่าวมาถึงในช่วงหัวค่ำ กับคำบอกแต่เพียงสั้นๆ…หล่อนจะไม่มีบ้านให้กลับอีกแล้วไม่ว่าวันใดๆ

หล่อนไม่สามารถแม้แต่จะร้องไห้ในช่วงเวลาทำงาน นั่นเพราะแม้นายจ้างรู้ว่าหล่อนมาจากไหน แต่ยากเกินไปที่จะให้คนอื่นๆ รู้ว่าหล่อนมาอยู่ได้อย่างไร

หล่อนไม่มีใบเอกสารสิทธิอะไรสักอย่าง ไม่มีกระทั่งบัตรประจำตัวใดๆ นั่นจึงทำให้อีกหลายๆ ครั้ง หล่อนต้องขึ้นไปนั่งบนตัวญาตินายจ้างในที่ลับตา ยอมรับสิ่งที่สอดแทรกเข้ามาโดยไม่สามารถต่อรองใดๆ เมื่อกองไฟได้พรากหวังสุดท้าย จึงแต่มีความตายเท่านั้น คือสิ่งอันจะสมควรที่สุด

แต่โชคชะตาก็ทำให้ฉันเป็นผู้หยุดเส้นทางของหล่อน จนได้รู้ความลับที่ซุกซ่อน จน…ความเจ็บแสบร้าวรอนเชื่อมเราเข้าด้วยกันทันใด ในชั่วพริบตาหนึ่ง