มนัส สัตยารักษ์ | เฟกนิวส์ ไวรัสโคโรนา

ตั้งชื่อหัวเรื่องด้วยการทับศัพท์ เพราะ fake news แปลเป็นไทยได้หลายคำ แต่ละคำต่างมีความหมายในตัวของมันเอง ขณะเดียวกันก็มีความหมายที่อาจจะเพี้ยนไปเป็นอย่างอื่นได้เช่นกัน ถ้าไม่เชื่อลองฟังดูก็ได้…ข่าวปลอม ข่าวเท็จ ข่าวหลอกลวง ข่าวเสแสร้ง ข่าวสร้าง ข่าวบิดเบือน ข่าวปั้น ข่าวปั่น และ ฯลฯ

หนแรกที่พบข่าวไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ระบาด ยอมรับว่าไม่ได้วิตกตื่นเต้นมากนัก เพราะไทยมีประสบการณ์คัดกรองและป้องกันการแแพร่ของโรคระบาดมาพอสมควร

จึงเหมารวมกับข่าวฝุ่น PM 2.5 แล้วโทรศัพท์ไปเตือนลูกชายให้หลานปู่ใส่หน้ากากอนามัยปิดจมูกเวลาออกจากบ้าน และให้ปลูกต้นไม้ไว้ในบ้านสักต้น

ข่าวไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ทำให้สับสนในแบบ “คนละเรื่องเดียวกัน” อย่างไรอย่างนั้น ทั้งนี้เพราะเจตนาหลักของคนสร้างข่าวต่างก็เพื่อประณามฝ่ายตรงข้ามในทางการเมือง มากกว่าจะเสนอความจริงต่อผู้เสพข่าว

เป็น “ข่าว” ที่สร้างขึ้นมาในสงครามวิวาทะระหว่างคนเชียร์รัฐบาลกับคนชังรัฐบาลไม่ใช่ข่าวเพื่อทำความจริงให้ปรากฏ

ขอถ่ายทอดข่าว “คนละเรื่องเดียวกัน” สักเรื่อง-สองเรื่อง พอให้เข้าใจคำว่า “เฟกนิวส์”

เรื่องเริ่มจากนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ทำนองว่า บุคลากรของกระทรวงทำงานดีอยู่แล้ว ไวรัสโคโรนาเป็นโรคหวัดชนิดหนึ่ง ไม่ควรแตกตื่นและวิตกจนเกินไป

มีเสียงตำหนิรัฐบาลว่า เหมือนกับไม่พร้อมจะรับมือกับโรคระบาดจากไวรัสโคโรนา เป็นโอกาสให้คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แห่งพรรคเพื่อไทย โพสต์เฟซบุ๊ก ย้อนกลับไปอวดถึงเมื่อครั้งเป็นรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข สมัยรัฐบาลทักษิณ ที่ประสบความสำเร็จในการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคซาร์สและหวัดนกมาแล้ว

คุณหญิงได้แนะนำให้นายกรัฐมนตรี “ยกระดับ” การดูแลปัญหาด้วยตนเองอย่างประธานาธิบดีสีจิ้นผิง และผู้นำประเทศอื่นๆ คุณหญิงย้ำว่า “ชีวิตของประชาชนคนไทยมีความสำคัญที่สุด”

แถมตบท้ายว่า “ไม่อยากให้ประชาชนบ่นว่า “รัฐบาลเฮงซวย หรือนายกฯ เฮงซวย””

ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ผู้มีจุดเดือดต่ำ “เสียท่า” ในการให้สัมภาษณ์ตามมาในภายหลังทุกกรณี รวมทั้งคนของฝ่ายรัฐบาลก็ดูเหมือนจะพลอยเพลี่ยงพล้ำในสงครามข่าวไปด้วย เพราะเกรงว่าจะขัดแย้งกับคำพูดของนายกรัฐมนตรี

สารพัดข่าวซึ่งผมไม่อาจรับรองว่าอันไหนเป็นข่าวจริงหรือข่าวปลอม แต่ชั่งน้ำหนักแล้วส่วนใหญ่เป็นข่าวชมเชยและยกย่องเจ้าหน้าที่ แพทย์และพยาบาลไทยและประเทศไทย รัฐบาลก็ควรที่จะพอใจแล้ว

ล่าสุด 2019 Global Health Index ซึ่งเป็นดัชนีวัด “ความมั่นคงทางสาธารณสุข” ของทั่วโลก เกี่ยวกับมาตรการที่จะใช้รับมือกรณีมีสถานการณ์โรคระบาดร้ายแรง ได้ประเมินถึงปีที่ผ่านมา (2019) ประเทศไทยติดอันดับ 6 จาก 195 ประเทศทั่วโลก

ดัชนีนี้วัดจากปัจจัยสำคัญ 34 ประเด็น จากแบบสอบถามผู้เชี่ยวชาญนานาชาติ 140 ข้อ ที่ครอบคลุมมาตรการการป้องกันโรคระบาด การตรวจสอบ การตอบสนองสถานการณ์ ระบบสาธารณสุขและความปลอดภัยเจ้าหน้าที่การแพทย์ การปฏิบัติตามมาตรฐานสากล รวมทั้งปัจจัยเสี่ยงโดยรวม

ประเทศไทยทำคะแนนได้ดีที่สุดในด้านระบบสาธารณสุขในการบำบัดรักษาผู้ป่วยและการปกป้องเจ้าหน้าที่การแพทย์ รองลงมาคือด้านการป้องกันการระบาดของเชื้อโรค

ถ้านายกรัฐมนตรีใจเย็นเหมือนผู้นำประเทศทั่วไป ไม่มีจุดเดือดจนออกอาการคนป่วย จะสามารถตั้งสติและมีปัญญาเกิดขึ้นจนรับทราบข้อเท็จจริงที่เป็น “บวก” เพื่อนำมาลบล้างคำพูดบิดเบือนหรือใส่ความให้ร้ายของฝ่ายตรงกันข้ามได้

แต่น่าเสียดายที่นายกรัฐมนตรีกลับทำอย่างตรงกันข้าม!!

ประเด็นที่น่าสนใจของข่าวไวรัสโคโรนาพันธุ์ใหม่อีกประเด็นก็คือ “พาคนไทยกลับบ้าน”

เริ่มต้นมีข่าวหลายประเทศดำริจะพาคนสัญชาติของตนออกจากเมืองอู่ฮั่น ตามมาด้วยข่าวจากรองโฆษกพรรคเพื่อไทย ร.ท.หญิงสุนิสา ทิวากรดำรง แขวะนายกรัฐมนตรีโดยแนะนำให้พาคนไทยกลับบ้าน

ผบ.ทอ.แถลงว่าพร้อมที่จะใช้เครื่องบินของ ทอ.ไปรับคนไทยที่เมืองอู่ฮั่นกลับบ้าน

ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า น่าแปลกมากที่ไม่มีแรงงานไทยในเมืองอู่ฮั่น ทราบแต่ว่ามีนักท่องเที่ยวไทยประมาณ 40 คนอยู่ในเมืองนี้ ส่วนแรงงานที่ทำงานในจีนมีเพียง 57 คน ส่วนใหญ่เป็นกุ๊กอยู่ในปักกิ่ง

เมื่อนักข่าวถามนายกรัฐมนตรีว่าจะไปรับคนไทยที่ติดค้างอยู่ที่เมืองอู่ฮั่นกลับบ้านได้เมื่อไรและอย่างไร นายกรัฐมนตรีตอบกระชากว่า “ไม่เห็นมีใครอยากกลับ ไม่เห็นมีใครติดต่อสถานทูต”

ต่อมานายกรัฐมนตรีได้ตอบคำถามเดียวกันนี้อย่างมีอารมณ์ว่า “พร้อมมาหลายวันแล้ว ผมสั่งมาตั้งเดือนแล้วมั้ง เครื่องบินพร้อมแต่เขายังไม่ให้ไป เข้าใจหรือยัง” (ฮา)

นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ แจงว่ายังไม่อพยพคนไทยจากอู่ฮั่น เชื่อในมาตรการปิดเมืองของจีน เพราะเคยผ่านวิกฤตโรคซาร์สมาแล้ว จีนรับปากจะดูแลคนไทย นายดอนย้ำว่ายังไม่มีประเทศใดนำเครื่องบินมารับคนกลับบ้าน

หลังจากนั้น มีภาพข่าวรัฐบาลญี่ปุ่นนำคนญี่ปุ่นกลับประเทศเดินทางถึงโตเกียว

ก่อนหน้านี้มีข่าวนายทหารเรือไทย 20 นายที่เป็นกรรมการตรวจการจ้างต่อเรือดำน้ำที่จีน “ดอด” เดินทางกลับบ้านอย่างปลอดภัย ในขณะที่วันเดียวกันนี้มีข่าวรัฐบาลไทยมีมติว่าจะยังไม่ไปรับคนไทยกลับบ้าน

เป็นเหตุให้โฆษกกองทัพเรือแถลงว่า ข่าวข้างต้นเป็น “ข่าวบิดเบือน” จากฝ่ายตรงกันข้ามรัฐบาล ความจริงแล้วนายทหารทั้ง 20 นายได้หยุดตั้งแต่ช่วงตรุษจีน แล้วกลับเข้าเมืองอู่ฮั่นไมได้เพราะมาตรการปิดเมืองของจีน

ส่วนนายกรัฐมนตรีกลับแถลงไปอีกทางว่า “ทำไมทหารกลับได้ เพราะเขาแข็งแรงใช่ไหม เขาผ่านการคัดกรองแล้วถึงอนุญาตให้กลับได้” (ฮา!!)

ผมมีความเห็นว่าสงครามข่าวจากสถานการณ์ “ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่” นายกรัฐมนตรีและฝ่ายรัฐบาลเป็นพ่ายแพ้ฝ่ายตรงข้ามหลุดลุ่ย และยับเยิน

ข้อแรก นโยบายของรัฐบาล ทำให้เห็นชัดว่ารัฐบาลเป็นห่วงธุรกิจท่องเที่ยวและรายได้จากการท่องเที่ยวมากกว่าชีวิตและสุขภาพของประชาชน

ข้อที่สอง ทำให้รู้ว่ารัฐบาลไม่ได้ร่วมกันทำงาน ไม่มีคำว่า “วาระแห่งชาติ” ไม่มีวอร์รูม ข้อมูลที่มีอยู่กระจัดกระจาย ตอบคำถามไปคนละทาง-สองทาง จึงสร้างความสับสนยิ่งกว่าเฟกนิวส์ของฝ่ายตรงข้าม

ข้อที่สาม ภาพที่แพร่ออกไปสู่สาธารณะคือ ภาพนายกรัฐบมนตรีกำลังทะเลาะกับประชาชน กราดเกรี้ยวเอากับประชาชนแต่ฝ่ายเดียว!!

โดยส่วนตัว ผม-ผู้เสพข่าวรู้สึกเหมือนถูกนายกรัฐมนตรีตะคอกใส่หน้า รู้สึกเหมือนถูกมองว่าเป็นคนชังชาติ คนเสื้อแดง หรือเป็นพวกของฝ่ายตรงกันข้าม!!