หนุ่มเมืองจันท์ | ไวรัส “น้ำใจ”

หนุ่มเมืองจันท์facebook.com/boycitychanFC

ดูข่าวไวรัสโคโรนาที่เมืองอู่ฮั่นแล้วสงสารมาก

คิดแบบ “ใจเขาใจเรา”

ถ้าเมืองไทยเจอแบบนี้เข้า เราคงแย่เหมือนกัน

เดินผ่านกันก็ไม่รู้ว่าใครมีเชื้อไวรัสโคโรนาอยู่ในตัวบ้าง

ถึงขั้นต้องปิดเมือง อยู่แต่ในบ้าน

ออกจากเมืองก็ไม่ได้

ญาติมาเยี่ยมก็ไม่ได้

ยังโชคดีที่ยุคนี้เทคโนโลยีการสื่อสารพัฒนามากแล้ว ทำให้สามารถโทรศัพท์หรือเฟซไทม์คุยกันได้

ถ้าเป็นยุคก่อนก็คงจะเครียดกว่านี้เพราะติดต่อกันลำบาก

ภาพของคนอู่ฮั่นตะโกนต่อๆ กันว่า “อู่ฮั่นสู้ๆ” แสดงถึงความรู้สึกอัดอั้นในใจ

เป็นภาวะที่ไม่รู้จะทำอย่างไรดี

สงครามทั่วไป เรายังเห็นตัวตนของ “ศัตรู”

แต่สงครามกับ “ไวรัส”

เรามองไม่เห็นศัตรู

เพราะมันลอยอยู่ในอากาศ

อยู่ในลมหายใจของเพื่อนๆ

ได้แต่รอคอยให้ทางการควบคุมการแพร่เชื้อให้ได้ก่อน

คนอู่ฮั่นจึงจะดำเนินชีวิตปกติได้

ไม่ใช่เพียงคนอู่ฮั่นเท่านั้น คนจีนทั้งประเทศก็น่าเห็นใจ

ในเมืองจีนด้วยกันไม่เป็นไร

เพราะทุกคนเผชิญปัญหาเท่าเทียมกัน

แต่พอออกไปต่างประเทศ จากที่เคยเป็น “มหาอำนาจ” ทางการท่องเที่ยว

เป็น “กำลังซื้อ” ที่ใครๆ ก็อยากได้

วันนี้ “คนจีน” ถูกมองเป็น “พาหะ” แพร่เชื้อ

เดินไปไหน คนก็หลบ

ได้ยินใครพูดภาษาจีนก็เดินหนี

ทั้งที่เขาไม่ได้ทำผิดอะไรเลย

คนจีนไม่ใช่ผู้ร้าย

ไม่ใช่อาชญากร

เขาแค่เป็นคนโชคร้ายที่ประเทศบ้านเกิดเจอโรคระบาด

คิดแบบใจเขาใจเรา

ลองนึกดูว่าถ้าเมืองไทยเกิดโรคระบาดแบบนี้ขึ้นมา แล้วเราไปต่างประเทศ เจอคนประเทศนั้นแสดงท่าทีรังเกียจอย่างออกนอกหน้า

เราจะรู้สึกอย่างไร

คนจีนก็คงรู้สึกเช่นนั้นเช่นกัน

ในยามวิกฤตเช่นนี้ การมองคนด้วยกันเป็นเพื่อนมนุษย์

มองด้วยความเห็นใจ

เป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนพึงกระทำ

ความเห็นอกเห็นใจคนที่เดือดร้อนเป็นเรื่องสำคัญในภาวะเช่นนี้

ถ้า “ไวรัสโคโรนา” เป็นไวรัสที่เลวร้าย

“ความเห็นอกเห็นใจ” น่าจะเป็น “ไวรัสดี” ที่เราควรจะส่งมอบให้กับชาวจีน

ถ้ามีเพื่อน ถ้ามีคนรู้จัก ควรจะส่งกำลังใจไปให้เขา

ถ้าเป็นโรงแรมหรือรีสอร์ตที่นักท่องเที่ยวชาวจีนเคยมาพัก

มีข้อมูลอีเมลของเขา

ก็ควรส่งกำลังใจไปให้

ไม่ใช่เรื่อง “การตลาด”

แต่เป็นเรื่อง “น้ำใจ”

มีคนเล่าว่า ที่ “บิ๊กซี” มีการติดป้าย “อู่ฮั่นสู้ๆ” เป็นภาษาจีน

เพราะนักท่องเที่ยวจีนไปช้อปปิ้งที่บิ๊กซีเยอะมาก

โดยเฉพาะสาขาราชดำริ

เพียงแค่การสื่อสารง่ายๆ แค่นี้

มีนักท่องเที่ยวจีนหลายคนประทับใจมาก

เพราะเขารู้สึกไม่โดดเดี่ยว มีคนที่เข้าใจเขา

อย่าลืมว่าช่วงเวลาที่ลำบากจะเป็นการพิสูจน์น้ำใจคน

ใครมีน้ำใจ

หรือใครไร้น้ำใจ

“การให้” ในวันที่เขามีพร้อม เขาไม่รู้สึกอะไร

แต่ “การให้” ในวันที่เขาเดือดร้อน

คงคล้ายกับเราได้ดื่มน้ำกลางทะเลทรายที่ร้อนระอุ

จำได้ทุกหยด

จำไม่มีวันลืม

ผมนึกถึงตอนที่เกิดเหตุสึนามิที่ภูเก็ต

มีนักท่องเที่ยวต่างชาติหลายคนที่ประทับใจในน้ำใจของคนไทยที่ช่วยเหลือเขาในวันนั้น

ประทับใจแล้วบอกต่อ

“วิกฤต” กลายเป็น “โอกาส”

“โอกาส” ที่จะบอกว่า “คนไทย” เป็นคนอย่างไร

แค่ “เป็น” อย่างที่เราเป็น

อย่า “กลัว” จนลืมสิ่งที่ดีที่เราเคย “เป็น”

แค่นั้นเอง

ในเมืองไทย ตอนนี้เดินไปไหนก็เห็นคนใส่หน้ากากอนามัยมากขึ้นกว่าเดิมเยอะมาก

ตอน PM2.5 ก็มีคนใส่พอสมควร

แต่ส่วนใหญ่จะใส่กลางแจ้ง

ขึ้นรถไฟฟ้า หรือศูนย์การค้าที่เป็นห้องแอร์เมื่อไรก็จะไม่ค่อยใส่กัน

แต่วันนี้แฟชั่นการใส่หน้ากากกลายเป็นเรื่องปกติ

ยิ่งขึ้นรถไฟฟ้าหรือศูนย์การค้ายิ่งต้องใส่

ใครไม่ใส่กลายเป็นเรื่องแปลก

วันก่อน นั่งคุยเรื่องไวรัสโคโรนากับน้องกลุ่มหนึ่ง

คนหนึ่งบ่นว่าตอนนี้หา “คนจริงใจ” ยากขึ้นเรื่อยๆ

เพราะไปที่ไหนก็เจอแต่คนใส่ “หน้ากาก”

…ใส่หน้ากากเข้าหากัน

เดินไปไหนเหมือนอยู่ในรายการ “The Mask Singer”

…หน้ากากนักร้อง

บางทีเจอเพื่อนก็จำไม่ได้

มีคนทักมา ต้องจ้องก่อนว่าเป็นใคร

ชีวิตตอนนี้จึงใช้สมาธิมากกว่าเดิม

คุยกันพักหนึ่งก็มีคนตั้งประเด็นว่าให้ลองมองหาข้อดีของไวรัสโคโรนา

คนแรก เป็นคนไม่ชอบไปงานสังสรรค์ต่างๆ

แต่ต้องไปเพื่อมารยาท หรือเกรงใจพี่ เพื่อน น้อง

ทั้งที่เขาชอบอยู่บ้าน

ช่วงนี้ถือเป็นโอกาสดีใช้เรื่องไวรัสเป็นข้ออ้าง

ไม่ต้องคิดเหตุผลอื่น

“ไวรัส” เรื่องเดียว ใช้ได้ทุกงาน

ส่วนน้องที่เป็นนักบัญชีก็บอกว่า “ไวรัส” ทำให้ทุกคนประหยัด

ไม่ออกไปเที่ยวไหน

เสร็จงานก็กลับบ้าน

ค่าใช้จ่ายน่าจะลดลง

แต่ที่ผมชอบที่สุดคือ น้องผู้หญิงคนนี้

เธอบอกว่าชอบแฟชั่นใส่หน้ากากมาก

เพราะแต่งหน้าง่าย

แค่เขียนคิ้วอย่างเดียว

แล้วใส่หน้ากาก

แค่นั้นก็สวยได้

ประหยัดเวลาไปได้เยอะ

น้องผู้ชายอีกคนเอาบ้าง

“ผมก็ชอบ”

“ทำไมถึงชอบ” ผมถาม

“ผมขี้เกียจแปรงฟันตอนเช้า” เขาตอบ

“ใส่หน้ากาก ผมก็ไม่ต้องแปรงฟัน”

ทุกคนมองหน้าน้องคนนี้

แล้วเด้งตัวออกห่าง

นึกถึงกลิ่นที่อวลอยู่ในหน้ากาก

น่ากลัวกว่า “ไวรัสโคโรนา” อีก