รายงานพิเศษ / One man show ‘บิ๊กแดง’ ทิ้งทวน ทุบหม้อข้าว ทบ. จัดระเบียบบ้านหลวง ล้างบางกองทัพ จัดแถวนายพล นายพัน สลายขั้วบูรพาฯ-ทหารเสือฯ-วงศ์เทวัญ ประจัญบาน สงครามโซเชียล

รายงานพิเศษ

 

One man show ‘บิ๊กแดง’ ทิ้งทวน

ทุบหม้อข้าว ทบ. จัดระเบียบบ้านหลวง

ล้างบางกองทัพ จัดแถวนายพล นายพัน

สลายขั้วบูรพาฯ-ทหารเสือฯ-วงศ์เทวัญ

ประจัญบาน สงครามโซเชียล

 

เมื่อประจักษ์ชัดถึงภัยคุกคามรูปแบบใหม่ และรู้ตัวว่าทั้งกองทัพบกและตนเองตกเป็นเป้าทางการเมือง บิ๊กแดง พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. จึงต้องปรับแผนในการต่อสู้

โดยเฉพาะการทำสงครามในโลกไซเบอร์ ศึกโซเชียล

ผลพวงของเหตุการณ์ “จ่าทหาร” แค้นใจผู้พัน จนไปปล้นปืน ไปสังหารผู้พัน และออกไปกราดยิงประชาชน จนต้องเกิดปฏิบัติการ Terminal 21 จนที่สุด ทำให้ประชาชน ตำรวจ ทหาร เสียชีวิตรวม 29 ราย ไม่นับรวมบาดเจ็บอีกจำนวนมาก เมื่อ 8-9 กุมภาพันธ์ 2563

การถูกถล่มอย่างหนักในโซเชียลมีเดีย ทั้งเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ อินสตาแกรม

ทำให้ พล.อ.อภิรัชต์รู้ดีว่ากองทัพบกและตัวเองจะเป็นฝ่ายตั้งรับอีกต่อไปไม่ได้

ทั้งการถูกวิจารณ์เรื่องการแต่งเครื่องแบบทหารไปร่วมประชุมแก้ไขสถานการณ์ที่นครราชสีมา เมื่อถูกนำไปเปรียบเทียบกับบิ๊กแป๊ะ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ที่ทำหน้าที่เป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ รวมทั้งการถูกวิจารณ์ว่า ไปทำไม ไม่ได้ช่วยอะไร

โดยเฉพาะผลกระทบแรงไปถึง ดร.อ้อ กฤษติกา คงสมพงษ์ ภริยา และหมอเพลิน ร.ท.หญิง อมรัชต์ คงสมพงษ์ ลูกสาว

จนทำให้ทั้งคู่ต้องปิดทั้งเฟซบุ๊กและอินสตาแกรมเป็นการชั่วคราว

“นี่เป็นผลที่เกิดมาจากผม ภริยาและลูกก็ต้องปิดโซเชียลมีเดียไปเลย เป็นผลกระทบจากผม ที่ทำให้บุคคลใกล้ชิดและครอบครัวได้รับผลกระทบไปด้วย” บิ๊กแดงระบุ

นั่นเป็นสาเหตุหนึ่งที่ พล.อ.อภิรัชต์คิดที่จะทำศึกโซเชียล หลังจากที่ตกเป็นฝ่ายตั้งรับมาตลอด

ถึงขั้นที่ พล.อ.อภิรัชต์เอ่ยปากว่า เพราะผมไม่มีเฟซบุ๊ก ไม่เล่น ig ไม่มีทวิตเตอร์

“ทหารทำ hash tag ในโซเชียลไม่เก่ง ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร ให้คนมาดู เราไม่มีเฟซบุ๊กหรือ ig ที่สวยงาม เรามานั่งออกแบบในสิ่งที่เป็นข้อเท็จจริง ที่จะให้ดึงดูดใจคน ก็สู้เขาไม่ได้ เราโฆษณาชวนเชื่อไม่เป็น” พล.อ.อภิรัชต์ระบุ

 

เหตุการณ์สะเทือนขวัญที่เกิดขึ้น ถือว่ารุนแรงที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้น และเกิดจากจ่าทหาร ในสภาพการณ์ที่กองทัพตกเป็นจำเลยสังคม และเป็นที่เกลียดชังของคนบางส่วน

แถมทั้งเกิดจากปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำในสังคมทหาร ระหว่างทหารขั้นผู้น้อย กับทหารระดับผู้บังคับบัญชา

จึงยิ่งทำให้กองทัพถูกวิจารณ์อย่างหนัก โดยเฉพาะ พล.อ.อภิรัชต์ ถึงความผิดพลาดและการเรียกร้องความรับผิดชอบ

ตั้งแต่เกิดเหตุ พล.อ.อภิรัชต์ติดภารกิจในวันมาฆบูชา ที่มีพระราชพิธีในวัดพระแก้ว และมีพระราชพิธีพระราชทานเพลิงศพที่วัดเทพศิรินทร์ ก่อนที่จะรีบเดินทางไปถึงที่เกิดเหตุราว 4 ทุ่ม

หลังจบสถานการณ์ เมื่อเช้าวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2563 เมื่อ พล.อ.อภิรัชต์กลับบ้าน ก็เก็บตัวเองอยู่ในห้อง ไม่พูดไม่คุยอะไรกับใคร

มารู้กันในภายหลังว่า พล.อ.อภิรัชต์ใช้เวลาในการร่างคำแถลงการณ์สำหรับแถลงข่าว ที่ตั้งใจจะกล่าวคำขอโทษและเสียใจด้วยตนเอง พร้อมถ้อยคำที่ออกมาจากใจ

หลังจากที่กองทัพบกได้ออกแถลงการณ์หลังเกิดเหตุมาแล้ว

และรับทราบรายงานเหตุการณ์ปล้นปืนเพื่อนำมาแถลงข่าว

 

ความรู้สึกต่างๆ ระคนกัน ส่งผลให้ พล.อ.อภิรัชต์ต้องหลั่งน้ำตาในการแถลงข่าวเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

และไม่ใช่แค่ร้องไห้ครั้งเดียว แต่หลายครั้งในเวลาหลายช่วง ตลอดการแถลงข่าวเกือบ 2 ชั่วโมง

จนเป็นที่มาของดราม่าในโลกโซเชียลว่าเป็น ผบ.ทบ.เจ้าน้ำตา และถูกวิจารณ์หนัก

“ผมเขียนออกมาจากใจ มาเป็นตัว ปากกาเขียนออกมาจากใจ ยอมรับว่าผมเป็นคนที่อ่อนไหวต่อเรื่องที่มันละเอียดอ่อน”

แต่ก็ทำใจว่า ไม่ว่าทำอะไรก็ผิด และโดนโจมตีทุกเรื่อง แม้แต่การแต่งเครื่องแบบลงพื้นที่

“ผมรู้ว่า ผมพูดไปแล้วก็ไปกระทืบในทวิตเตอร์กันอีก…ผมก็มีภารกิจบางอย่างที่ต้องไปปฏิบัติ ไม่ใช่ว่าไม่รีบไป …หากอยากรู้ก็ไปหาข่าวกันเอาเอง” บิ๊กแดงแจง

“แต่ถ้าผมแต่งชุดฝึก ฟูลออปชั่นไป ผมก็โดนอีกแน่นอน” บิ๊กแดงระบุ

เพราะในวันนั้น พล.อ.อภิรัชต์ไปกับ ทส.แค่สองคน และมีกระเป๋า 2 ใบ มีทั้งยุทโธปกรณ์ที่จำเป็น อุปกรณ์ติดต่อสื่อสาร ชุดฝึก รองเท้า เพื่อว่าหากเกิดการร้องขอจากตำรวจให้เป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงาน จะได้ปฏิบัติ

“แต่บางครั้งเราไป over react เกินไป ทำให้สถานการณ์ตึงเครียดเกินไปคงไม่เหมาะสม”

อีกทั้ง ผบ.ตร.ทำหน้าที่ ผบ.เหตุการณ์ เพราะเป็นพื้นที่ในเมือง และเป็นอาชญากรรม ก็ใช้ กม.ปกติ ไม่ต้องใช้ทหาร

แต่ พล.อ.อภิรัชต์ก็พร้อมสนับสนุน พล.ต.อ.จักรทิพย์ และบิ๊กปั๊ด พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รอง ผบ.ตร. เพื่อนรัก ตท.20

จึงมอบให้บิ๊กนัย พล.อ.สุนัย ประภูชะเนย์ ผช.ผบ.ทบ. อดีต ผบ.นสศ. ทหารรบพิเศษ เข้าพื้นที่ตั้งแต่ช่วงเย็น และสั่งเตรียมกำลังทหารรบพิเศษ top elite forces ของ ทบ.ไทย “หน่วยเฉพาะกิจ 90” กรมรบพิเศษที่ 3 รักษาพระองค์ (รพศ.3 รอ.) เตรียมกำลังพร้อมในที่ตั้ง และมีกำลังส่วนหน้ามาอยู่ที่ค่ายสุรนารีแล้ว

หากทาง ผบ.ตร.ต้องการกำลังสนับสนุน และต้องแต่งตั้งเป็น ผช.เจ้าพนักงาน แต่ในที่สุดก็ไม่ต้องถึงมือรบพิเศษ เพราะตำรวจมีทั้งหน่วยอรินทราช 26 และทีมหนุมาน กองปราบฯ ตำรวจมหาดเล็ก 904 และนเรศวร 261

“ไม่ใช่ว่าผมไม่ได้ช่วยทำอะไร ผมก็ร่วมปรึกษาหารือกับทางตำรวจตลอด เพราะผมกับ ผบ.ตร.เป็นเพื่อนรักกัน ผ่านวิกฤตต่างๆ มาด้วยกัน”

หากแต่งานนี้ ตำรวจได้รับความนิยมอย่างมาก หลังจากที่จบภารกิจ ด้วยการวิสามัญจ่าทหาร ทำให้หน่วยอรินทราชเสียชีวิต 2 นาย

พร้อมๆ กับคะแนนนิยมของ พล.ต.อ.จักรทิพย์พุ่งขึ้น รวมทั้งสารวัตรฮัท ร.ต.อ.ชานันท์ ชัยจินดา บุตรชาย ที่ร่วมปฏิบัติการเคียงข้างพ่อ จนทำให้กระแสโจมตีเรื่องคุณสมบัติจางหายไป

แต่ทว่าเสียงวิจารณ์ก่นด่าพุ่งเข้าใส่กองทัพ ใส่ทหาร และโดยเฉพาะ พล.อ.อภิรัชต์ ผบ.ทบ. รวมทั้งบิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ซึ่งเป็น รมว.กลาโหมด้วย

ที่ยิ่งทำให้ พล.อ.อภิรัชต์ช้ำใจอย่างหนัก ถึงขั้นที่ต้องหลั่งน้ำตา เสียงสะอื้น แอ่นอกให้ด่าตนเอง

“อย่าด่ากองทัพ อย่าด่าทหาร ถ้าจะตำหนิ ถ้าจะด่า มาด่า พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ เพราะเป็น ผบ.ทบ. มาด่าผม” พล.อ.อภิรัชต์กล่าว

ทว่ากระแสการเมืองไม่ใช่แค่ด่า แต่ทว่าเดินเกมในการเรียกร้องกดดันให้ พล.อ.อภิรัชต์ลาออก เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุที่เกิดขึ้น

พล.อ.อภิรัชต์รู้ดีถึงหมากเกมนี้ ที่ต้องการกดดันให้ตนเองลาออก เพื่อหวังให้เป็นโดมิโนลามไปถึง พล.อ.ประยุทธ์

จึงไม่แปลกที่ พล.อ.อภิรัชต์จะยืนกรานว่า “ผมมีความรับผิดชอบเพียงพอต่อภารกิจทุกอย่างที่สั่งไปในทุกตำแหน่ง อะไรที่สั่ง ผู้ใต้บังคับบัญชาทำ ผมรับผิดชอบ แต่ผมไม่สามารถรับผิดชอบต่อการกระทำที่เป็นเหตุการณ์ส่วนตัว และการก่ออาชญากรรม”

พล.อ.อภิรัชต์ระบุ

แต่เป็นที่จับตามองอย่างหนักว่า จะมีการโยกย้ายนายทหารที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้หรือไม่ หลังจากที่ พล.อ.อภิรัชต์ขู่จะมีการย้ายทั้งระดับนายพล นายพันจากความบกพร่องในการควบคุมบังคับบัญชา

ส่งผลให้บิ๊กอิ๊ด พล.ท.ธัญญา เกียรติสาร แม่ทัพภาคที่ 2 ตกอยู่ในข่าย ในฐานะผู้บังคับบัญชาสูงสุด ในกองทัพภาคที่ 2 รวมทั้งผู้บัญชาการ บชร.2 หลังเกิดเสียงวิจารณ์ถึงความล่าช้า ความผิดพลาด

แม้ว่าจะไม่ได้มีความบกพร่องในเรื่องคลังอาวุธของกองรักษาการณ์และคลังอาวุธของหน่วย เพราะมีทหารเวรดูแล แต่ทว่าจ่าทหารผู้ก่อเหตุใช้อาวุธปืนยิงจนเสียชีวิต แล้วนำอาวุธ กระสุนไป

ในกองทัพภาคที่ 2 เวลานี้ จึงสนใจการแต่งตั้งโยกย้ายทหารกลางปี หรือโผเมษายน ที่จะเสร็จสิ้นในปลายกุมภาพันธ์นี้ โดยจะนำขึ้นทูลเกล้าฯ และประกาศไม่เกินกลางมีนาคม ที่จะมีผล 1 เมษายน

ตามด้วยโผโยกย้ายระดับผู้บังคับการกรม หรือพันเอกพิเศษ และโผผู้พัน หรือพันโท พันเอก ที่จะออกตามๆ กันออกมา ที่คาดว่าจะมีการโยกย้ายล้างบางกันใหม่

ประกอบกับ พล.อ.อภิรัชต์มีกฎใหม่ในการคัดตัว ผบ.หน่วย ที่ต้องดูเรื่องรูปร่างลักษณะ ไม่อ้วนลงพุง พัฒนาตนเอง เรื่องความรู้ภาษาอังกฤษ ที่ในอนาคตอันใกล้จะต้องผ่านการสอบ Toeic และการปกครองดูแลบังคับบัญชา

เพราะเหตุโศกนาฏกรรมครั้งนี้ พล.อ.อภิรัชต์ยอมรับว่า จ่าทหารผู้ก่อเหตุไม่ได้รับความเป็นธรรมจากผู้บังคับบัญชาและเครือญาติ ดังนั้น จึงต้องเลือกนายทหารที่จะมาเป็น ผบ.หน่วยคนใหม่

แต่กระนั้น นายทหารในกองทัพภาคที่ 2 ยังเผื่อใจว่าจะไม่มีการโยกย้ายถึงระดับแม่ทัพภาค เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว พล.ท.ทัญญาก็อาจจะต้องถูกขยับไปเป็นพลเอกตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ จากเดิมที่คาดกันว่าในการแต่งตั้งโยกย้ายปลายปีเดือนตุลาคมนี้ พล.ท.ทัญญาจะได้ขยับขึ้นเป็นพลเอกใน 5 เสือ ทบ.

หากเป็นเช่นนั้นถือว่าเป็นครั้งประวัติศาสตร์ที่มีการโยกย้ายนายทหารระดับแม่ทัพภาคเพื่อสังเวยเหตุการณ์ในลักษณะนี้ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

 

แม้ว่า พล.ท.ทัญญาจะเป็นนายทหารที่มีผลงานและทุ่มเทมาตลอด และที่สำคัญเป็นเตรียมทหาร 21 ที่มีความใกล้ชิดสนิทสนมกับ พล.อ.อภิรัชต์ ที่จะเป็นการพิสูจน์ว่าบิ๊กแดงจะทำจริงหรือว่าแค่ขู่

แต่รู้กันดีว่า พล.อ.อภิรัชต์พูดจริงทำจริง จะเห็นได้จากการประกาศทุบหม้อข้าว ทบ. ทั้งการผ่าตัดระบบสวัสดิการทหารและรายได้ที่เป็นเงินนอกงบประมาณใหม่หมด แบบที่เรียกว่าล้างธุรกิจลายพราง ธุรกิจในค่ายทหารทั้งสนามกอล์ฟ สนามมวย โรงแรมที่พักตากอากาศ สถานีโทรทัศน์กองทัพบกที่เตรียมจะให้เอกชนมืออาชีพเข้ามาบริหารดำเนินการแล้วส่งรายได้เข้ากระทรวงการคลัง แล้วแบ่งกลับมาให้กองทัพบกใช้เป็นสวัสดิการ จากเดิมที่รายได้ทั้งหมดอยู่แต่ในมือของ ผบ.หน่วยหรือกองทัพบก

พล.อ.อภิรัชต์ได้ไปหารือกับ พล.อ.ประยุทธ์ก่อนแล้ว โดยระบุว่า “พี่ครับ ผมต้องทำ” ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ก็ไม่คัดค้าน

งานนี้รู้กันดีเป็นวงในว่ามีเหตุผลหลายอย่าง ทั้งเหตุผลพิเศษ และเหตุผลทางการเมือง

ก่อนหน้านี้นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ได้ขุดคุ้ยโจมตีเรื่องรายได้ที่เป็นเงินนอกงบประมาณจำนวนมหาศาลของกองทัพ ส่งผลให้ พล.อ.อภิรัชต์ใช้เป็นข้ออ้างในการทุบหม้อข้าว ทบ.ครั้งนี้ได้ด้วย

แต่ก็เรียกได้ว่าเข้าทาง พล.อ.อภิรัชต์ที่จะจัดระเบียบภายในกองทัพบกใหม่ในการดึงสถานที่ที่เป็นรายได้สวัสดิการจากหน่วยต่างๆ มาอยู่ในมือและอยู่ใน ทบ.ส่วนกลาง เพราะเดิมถือเป็นสมบัติ เป็นหม้อข้าวที่ ผบ.หน่วยทุกยุคทุกสมัยหวงแหน

 

จึงไม่แปลกที่ครั้งนี้จะเกิดกระแสต่อต้านด้วยการปล่อยข่าวในโซเชียลและส่งให้ฝ่ายตรงข้ามกองทัพ เพราะแต่ละหน่วยสูญเสียรายได้และมีทหารจำนวนไม่น้อยต้องถูกส่งกลับหน่วยปกติ จึงเกิดคลื่นใต้น้ำขึ้น

“ผมไม่สนอยู่แล้ว เพราะรู้ว่าต้องมี แต่ผมยึดกองทัพบกเป็นหลัก ผมพูดแล้วทำ แก้ไข เพื่อทำให้สะอาดและโปร่งใส ผมจะทำให้ได้และจะทำจนวันสุดท้าย ผบ.ทบ.” บิ๊กแดงกล่าว

แต่อย่างไรก็ตาม พล.อ.อภิรัชต์ก็ไม่ได้ยอมรับเสียทีเดียวว่าเป็นผลพวงจากนายธนาธร แต่เป็นเรื่องภายในที่กองทัพบกทำมาก่อนนานแล้ว หลายยุคหลายสมัย

แต่ก็มาเห็นกันชัดๆ ในยุค พล.อ.อภิรัชต์นี้ที่กล้าทำอย่างที่ไม่เคยมี ผบ.ทบ.คนใดกล้าทำหรือทำได้มาก่อน

แม้จะเป็นเพราะว่ามีเหตุผลพิเศษสนับสนุนอยู่ด้วยก็ตาม

โดยเฉพาะการยกเลิกสโมสรฟุตบอล Army United ที่ถือว่าสะเทือนวงการฟุตบอลของกองทัพบกที่มีมายาวนานเป็น 100 ปี และสะเทือนผลประโยชน์ที่มีมายาวนานเช่นกันเพราะเกี่ยวข้องกับสปอนเซอร์ที่มีหลักถึงร้อยล้านในแต่ละปี

รวมทั้งการที่ทีมฟุตบอลไม่สามารถขึ้นชั้นหรือคว้าแชมป์ได้มาต่อเนื่องหลายปีแม้แต่ในยุคที่ พล.อ.ประยุทธ์เป็น ผบ.ทบ. 4 ปีก็ตาม

โดย ทบ.ลงนามใน MOU กับกระทรวงการคลัง ในการทำสวัสดิการเชิงพาณิชย์ ตาม กม.ของกระทรวงการคลัง อันเป็นการปิดฉากเรื่องเงินนอกงบประมาณ

โดยดำเนินการเป็นเฟสๆ จะให้เอกชนที่เป็นมืออาชีพมาดำเนินการ เพราะทหารเราไม่ได้จบการโรงแรม ไม่ได้จบการบริหารจัดการ สนามมวย สนามกอล์ฟมา

“อะไรที่ไม่ดี ผมยอมรับ แต่อย่ามาตีซ้ำตีซ้อน ผมแก้ ไม่ใช่ผมพูดอย่างเดียวแล้วไม่ทำ สิ่งที่ผิดพลาด ผมยอมรับ แล้วผมแก้” บิ๊กแดงกล่าว

รวมถึงการออกกฎเหล็กห้ามไม่ให้นายทหารเกษียณหรือที่ย้ายออกจากกองทัพบกไปแล้วยังคงอยู่ในบ้านหลวง โดยขีดเส้นตายให้ย้ายออกภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้

เพื่อที่จะมีบ้านให้ทหารที่ยังคงรับราชการอยู่อาศัยและได้เก็บเงินไว้ซื้อบ้านของตนเองก่อนเกษียณราชการ

 

ท่ามกลางการจับตามองไปถึงบ้านพักของ 3 ป. ใน ร.1 รอ. ว่าเข้าข่ายกฎเหล็กนี้หรือไม่

ด้วยเพราะเวลานี้บ้านสี่เสาเทเวศร์ก็ไม่สามารถนำมาเป็นข้ออ้างของบรรดาบิ๊กทหารที่เกษียณราชการแล้วไม่ยอมย้ายออกได้อีกต่อไป

ขณะที่บ้านของบิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ นั้นได้แปรสภาพเป็นมูลนิธิป่ารอยต่อห้าจังหวัดฯ ไปนานแล้ว และแยกออกไปจาก ร.1 รอ. โดยปัจจุบันก็มีทางออกต่างหากเป็นของตนเอง

ส่วนบิ๊กป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ก็ย้ายออกไปอยู่บ้านส่วนตัวย่านพุทธมณฑลแล้ว

คงมีแต่ พล.อ.ประยุทธ์ที่ยังคงอยู่ แต่การเป็นนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ก็สามารถที่จะใช้บ้านรับรองของหน่วยได้ก็ตาม

แต่ก่อนหน้านี้ พล.อ.ประยุทธ์ก็เคยมีแนวคิดที่จะไปอยู่บ้านพิษณุโลกและเคยไปสำรวจมาแล้ว

ไม่แค่นั้น พล.อ.อภิรัชต์ที่ลั่นวาจาว่าจะไม่ถนอมตัว เพราะเหลือเวลาแค่ไม่กี่เดือนจะเกษียณนั้น ประกาศจะล้างระบบเด็กฝาก เด็กเส้น

“เป็นทหารก็ต้องทำงาน ไม่ว่าจะเป็นเด็กใคร ค่ายไหน ผมไม่สนอยู่แล้ว อย่ามาอ้าง”

แต่ยอมรับว่า ทุกวันนี้การมาฝากเป็นโน่นเป็นนี่ นี่ 99% ไม่มี แต่อาจจะมีหลุดมาบ้าง มีจดหมายหลุดมาบ้าง ถือว่ากล้าหาญมาก อุตส่าห์ไปทำ ถ้าไม่ดี คนเสนอรับผิดชอบ ทหารตัองเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่มีการแบ่งขั้ว แบ่งค่าย เหมือนที่สื่อเคยเรียกอีกแล้ว” พล.อ.อภิรัชต์กล่าว

เพราะในยุคนี้ไม่มีวงศ์เทวัญ ไม่มีบูรพาพยัคฆ์ ไม่มีทหารเสือราชินี แต่ทุกคนเป็นทหารบกด้วยกัน

 

ผลพวงจากเหตุการณ์ที่โคราชส่งผลให้บิ๊กบี้ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผช.ผบ.ทบ. ถูกจับตามองในฐานะตัวเต็ง ผบ.ทบ.คนใหม่ ว่าจะรับไม้ต่อจาก พล.อ.อภิรัชต์ ในสถานการณ์การเมืองที่เข้มข้น แวดล้อมไปด้วยสายตาที่จ้องจับ และในสภาพที่ ทบ.เผชิญความท้าทายเช่นนี้ได้หรือไม่อย่างไร

เพราะแรงกดดันมาอยู่ที่ ว่าที่ ผบ.ทบ.คนใหม่ หลังจากที่ พล.อ.อภิรัชต์ประกาศไว้ว่า นายทหารที่จะมารับธงรับไม้ต่อจะต้องสานต่อในสิ่งที่ตนเองทำ

ทั้งการปกครองดูแลบังคับบัญชากำลังพลด้วยความเป็นธรรม การเปิดคอลเซ็นเตอร์ รับเรื่องราวร้องเรียนจากทหารชั้นผู้น้อยและผู้ใต้บังคับบัญชา ที่ร้องเรียนผู้บังคับบัญชา โดยเป็นสำนักงานที่ขึ้นตรงกับ ผบ.ทบ.โดยตรง

และการจัดระบบรายได้ที่เป็นเงินนอกงบประมาณ จัดระเบียบหม้อข้าวใหม่ของกองทัพบกให้เป็นไปอย่างถูกต้อง

แต่เวลาที่เหลืออยู่ พล.อ.อภิรัชต์ก็ต้องเตรียมพร้อมสำหรับทำสงครามไซเบอร์และทำศึกในโซเชียล โดยเฉพาะกองทัพทวิตเตอร์

จนเป็นที่มาของการสั่งปรับโฉมโซเชียลของกองทัพบกใหม่ ทั้งการปรับเปลี่ยนหน้าเพจให้มีความทันสมัยและภาพสวยงามแบบมีศิลปะแนวใหม่

รวมทั้งการใช้ Twitter และ Instagram ในการสื่อสารและกระจายข่าวของกองทัพ ในลักษณะที่เป็นทางการและเป็นการสร้างภาพลักษณ์ให้กองทัพบก

แต่ก็มีรายงานว่ามีการสร้างเครือข่ายในสังคมออนไลน์ด้วยนักรบคีย์บอร์ด ที่มีอยู่ในการปฏิบัติการทำสงครามไซเบอร์ในทางการเมือง

รวมทั้งมีเพจ Facebook ของหน่วยต่างๆ ในกองทัพบกที่แต่ละหน่วยมีกำลังพลรับผิดชอบทั้งทีมหน้าจอมอนิเตอร์ และ combat camera ที่จะถ่ายรูปสวยๆ และมือทำกราฟิกตัดต่อคลิปไวรัล สร้างกระแส หรือพร้อมที่จะแชร์ภาพและข้อความจากเพจทางการของกองทัพบก

โดยที่ พล.อ.อภิรัชต์ก็เริ่มเขียนบทความ ข้อความต่างๆ เพื่อเผยแพร่ผ่านเพจของ ทบ. และผ่านสื่อ เพื่อเป็นช่องทางในการตอบโต้และชี้แจงด้วยตนเองอีกทางหนึ่ง

เพราะที่ผ่านมา พล.อ.อภิรัชต์ก็มีส่วนสำคัญในการให้ไอเดียรวมทั้งการนำคติพจน์ ม็อตโต้คำพูดต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทหารมาเผยแพร่ผ่านสื่อของกองทัพบกอยู่เนืองๆ

ดังนั้น ในอีก 7 เดือนที่เหลืออยู่ของ พล.อ.อภิรัชต์ จึงเป็นช่วงเวลาแห่งความท้าทาย และจะพิสูจน์ว่าก้าวต่อไปของเขาจะสวยงามหรือไม่

เพราะยังคงถูกจับตามองว่าหลังเกษียณจะได้รับหน้าที่สำคัญต่อเนื่องจากการเป็น ผบ.ฉก.ทม.รอ.904

            แต่หลังจากเว้นวรรค 2 ปีแล้ว จากการเป็น ส.ว. จะลงสู่สนามการเมืองหรือไม่ โดยเฉพาะการเป็นนายกรัฐมนตรีในวันใดวันหนึ่ง