เครื่องเคียงข้างจอ / วัชระ แวววุฒินันท์ / เรียนรู้อะไรจาก ‘อู่ฮั่น’

วัชระ แวววุฒินันท์

เครื่องเคียงข้างจอ/วัชระ แวววุฒินันท์

เรียนรู้อะไรจาก ‘อู่ฮั่น’

 

ต้องบอกก่อนเลยว่า ตอนแรกที่มีกระแสข่าวขึ้นมาถึงไวรัสจากเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน ผมยังนึกไม่ออกเลยว่าอู่ฮั่นอยู่ตรงไหนของจีน และสำคัญอย่างไร

หลายๆ คนก็อาจจะเป็นเหมือนกับผม แต่ตอนนี้เชื่อว่าไม่มีใครไม่รู้จักเมืองนี้

แต่อาจจะรู้จักในความรู้สึกที่เป็นลบไปแล้ว

กว่าบทความของเครื่องเคียงฯ นี้จะถูกตีพิมพ์ ข่าวคราวความเคลื่อนไหวของเจ้าไวรัสโคโรนาก็คงไปไกลแล้ว ทั้งจำนวนของผู้ติดเชื้อ การแพร่กระจายของเชื้อโรค การรับมือต่างๆ รวมทั้งคนไทยจากเมืองอู่ฮั่นก็คงได้กลับมาเมืองไทยเรียบร้อยแล้ว

ในทุกๆ เหตุการณ์ มีอะไรให้เราได้เรียนรู้เสมอ แล้วแต่ว่าจะมองในมุมไหน

 

ในเรื่องนี้หากมองในมุมของ “สื่อสารมวลชน” ก็ถือว่าเป็นเรื่องชิ้นเอกที่เป็นกระแสโลกที่ต้องเกาะติด หาข้อมูลเชิงลึก แข่งกันนำเสนอแบบเรียลไทม์ เพราะคนในสังคมอยากรู้ว่า “เป็นไงบ้างแล้ว” “ป่วยกี่คน ตายกี่คน” “คุมได้หรือยัง”

จึงเป็นการแย่งชิงพื้นที่ข่าวอื่นๆ ไปโดยปริยาย และได้เห็นถึงการพยายามจับประเด็นที่น่าสนใจ เช่น การต่อสายพูดคุยกับคนไทยที่ติดอยู่ในเมืองอู่ฮั่นถึงสภาพความเป็นอยู่และสิ่งที่ต้องการความช่วยเหลือ ซึ่งในยุคนี้แล้วทำได้ง่ายมากเพียงเชื่อมมือถือให้ถึงกัน

หากเป็นก่อนหน้านี้แล้ว คงมืดแปดด้านในการติดต่อเช่นนี้ นี่คือประโยชน์ของเทคโนโลยี

หน้าที่ของสื่อสารมวลชนหลักคือ การให้ข้อมูลข่าวสารความเป็นจริงเพื่อให้ประชาชนได้รับรู้ ในขณะเดียวกันก็ต้องให้ “ความรู้” เพื่อให้ประชาชนได้เรียนรู้ด้วย ไม่ว่าจะเป็น “ไวรัสโคโรนาคืออะไร” “วิธีป้องกัน” “วิธีรับมือ” และอื่นๆ ที่เป็นการเสริมสติปัญญา โดยไม่ทำให้เกิดความวิตกกังวลเกินกว่าเหตุ

และถ้าจะดีคือการใช้โอกาสนี้ ชี้ให้เห็นถึงวิธีการคิดและการใช้ชีวิตในสภาพปกติว่าเราได้ทำดีแล้วหรือยัง โดยไม่ต้องรอให้โรคร้ายมาถึง

เอาง่ายๆ อย่างการล้างมือนี่ ความจริงในชีวิตปกติก็เป็นเรื่องที่ควรทำเป็นประจำให้ติดเป็นนิสัย และไม่ใช่ล้างพอให้น้ำผ่านมือ แต่ล้างด้วยสบู่ให้สะอาดเพื่อป้องกันเชื้อโรคต่างๆ เข้าสู่ร่างกาย วันก่อนฟังสำนักข่าวแห่งหนึ่งแนะนำวิธีล้างมือได้อย่างน่ารัก มีคนสงสัยว่าควรจะล้างนานแค่ไหนดี ก็แนะว่าให้ร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ธเดย์ไปด้วยขณะล้างมือ ร้องเพลงจบเมื่อไหร่ก็เป็นอันล้างมือจบเมื่อนั้น เออ…ดีจัง

วันก่อนผมลองเปลี่ยนเป็นเพลงลอยกระทง ก็พบว่าไม่เลว ล้างได้นานขึ้นอีกหน่อย เป็นการเพิ่มความสะอาดไปในตัว

หรืออย่างการใช้หน้ากากอนามัย ที่แต่ก่อนเราอาจจะรู้สึกว่าใช้แล้วเป็นตัวประหลาด แต่เมื่อมีเรื่องฝุ่นพิษเข้ามา เราก็เริ่มคุ้นเคยกับหน้ากากอนามัยมากขึ้น เพราะใครๆ ก็ใส่กัน ยิ่งตอนนี้หน้ากากอนามัยกลายเป็นญาติสนิทไปแล้ว ไปไหนขอมีติดตัวและใส่ทุกเมื่อเมื่อออกสังคม โดยไม่สนใจว่าใครจะมอง แถมบางคนรู้สึกอินเทรนด์เสียอีกที่ได้ใช้

จริงๆ แล้วการใช้หน้ากากอนามัยในชีวิตประจำวันโดยเฉพาะในเมืองใหญ่ เป็นเรื่องที่สามารถช่วยลดการแพร่กระจายเชื้อโรคได้อย่างดี ทั้งจากเราสู่คนอื่น และจากคนอื่นมาหาเรา

นั่นเป็นเรื่องใกล้ตัวเราที่เราพอจะเรียนรู้ได้

 

สําหรับเรื่องที่ไกลตัวออกไปถึงประเทศต้นเรื่องคือประเทศจีนนั้น ผมมองเห็นอะไร ผมมองเห็น “สัจธรรมของธรรมชาติ”

อย่างไรหรือ?

ใครเลยจะคิดว่า ประเทศจีนที่กำลังเป็นพระเอกของโลก ที่ในช่วง 10 ปีนี้ได้ก้าวกระโดดขึ้นมาเป็นพี่ใหญ่เสียงดังแข่งกับพี่เบิ้มทางตะวันตกอย่างสหรัฐอเมริกาหรือยุโรปได้แบบตาต่อตาฟันต่อฟันกันเลยทีเดียว ปะฉะดะทั้งเศรษฐกิจ การเมือง เทคโนโลยี และนวัตกรรมต่างๆ

ใครๆ ก็อยากค้าขายกับจีน เพราะจีนมีเงิน

นักท่องเที่ยวจีนเที่ยวไปทั่วโลก เที่ยวไปถึงไหนก็สร้างเศรษฐกิจให้กับที่ที่ไป ดูอย่างประเทศไทย เป็นต้น

อะไรหลายๆ อย่างกำลังจะพุ่งขึ้นทะยานไปอย่างไม่หยุดยั้ง

แต่แล้วก็ต้องมาสะดุดกึก เบรกกันหัวทิ่มหัวตำ ด้วยกรณีของไวรัสอู่ฮั่นนี่เอง

ประเทศจีนประกาศปิดประเทศ ห้ามคนจีนเดินทางออก ปิดสนามบินที่เมืองอู่ฮั่นจนการเดินทางติดต่อกันมีอุปสรรค เมืองอู่ฮั่นที่เป็นศูนย์กลางของการกระจายเศรษฐกิจทางภาคกลางของประเทศไปสู่ภาคอื่นๆ กลายเป็นเมืองร้าง

แน่นอน ที่เศรษฐกิจของจีนที่กำลังถีบตัว ต้องมีอันหยุดชะงักและถอยหลัง

ที่ผมว่าเห็น “สัจธรรมของธรรมชาติ” คือ ธรรมชาติจะจัดสรรทุกอย่างเองไม่ให้อะไรมีมากเกินไปหรือน้อยเกินไป ธรรมชาติที่ดีที่ยั่งยืน คือ “ความสมดุล” ไม่มากเกินไปหรือน้อยเกินไป ทุกอย่างอยู่ร่วมกันได้อย่างผสมผสานลงตัว ไม่มีใครใหญ่ได้นาน ไม่มีใครเล็กตลอดไป

นี่อาจจะเป็นสิ่งที่ธรรมชาติกำลังสร้างสมดุลให้กับโลกอยู่ก็ได้

นั่นคือนัยยะของความพอเพียง ที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้พระราชทานไว้

 

จีนกำลังจะผงาดเป็นมังกรผู้กุมชะตาชีวิตโลก แต่ อ๊ะๆ… รอก่อนนะ ผงาดได้ ใหญ่ได้ แต่อย่ามากเกินไป เหมือนที่เกิดขึ้นแล้วกับเยอรมนีในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2

เหมือนที่เกิดขึ้นแล้วกับอาณาจักรกรีกและโรมันที่รุ่งเรืองสุดๆ

เหมือนที่เกิดขึ้นแล้วกับอาณาจักรขอมอันเกรียงไกรในอุษาคเนย์ ทั้งวิทยาการและศิลปะ

เหมือนที่เกิดขึ้นแล้วกับหลายๆ องค์กรธุรกิจที่เคยใหญ่ และตั้งใจจะใหญ่มากขึ้นไปอีก

 

หากมองย้อนกลับเข้ามาในประเทศไทย ก็มีหลายตัวอย่างให้เห็นถึง ผู้มีอำนาจในอดีตที่ต้องการจะ “ครองและขยายอำนาจ” มากเกินไป ยึดติดกับความไม่รู้จักพอ ไม่สร้างสมดุลที่พอดีพอเพียง แล้วผลของโศกนาฏกรรมก็เกิดขึ้นให้เห็นมาแล้ว

อย่างไรก็ดี ในกรณีนี้ขอชื่นชมระบบสาธารณสุขของไทย ทั้งบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง ที่สามารถจัดการเรื่องไวรัสร้ายนี้ได้อย่างดีเยี่ยมจนองค์กรระดับโลกชื่นชม

อย่าไปฟังเสียงนกเสียงกาที่คอยกัดกร่อนสิ่งดีๆ หากเราทำดีแล้ว ความดีความถูกต้องนั่นจะประกาศตัวออกมา ด้วยเสียงที่ดังกลบความเท็จทั้งหลายไปเอง

อย่าให้เรื่องไวรัสอู่ฮั่นผ่านเข้ามาทำลายเรา แต่เราควรสร้าง “อะไรดีๆ” จากเหตุการณ์นี้บ้างลองคิดกันดู

ขอให้ทุกท่านมีสติและปลอดภัยจากทุกเชื้อโรคนะครับ โดยเฉพาะเชื้อแห่งอวิชชาทั้งหลาย

ส่วนรัฐบาลจะปลอดภัยจากเชื้อไม่ไว้วางใจหรือไม่ อยู่ที่ภูมิต้านทานของท่านแล้วละครับ อันนี้ก็ตัวใครตัวมัน