ผบทบขทปชช–ผู้บัญชาการทหารบกขอโทษประชาชน / ฉบับประจำวันที่ 14-20 กุมภาพันธ์ 2563

การแถลงข่าวทั้งน้ำตาของ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. สืบเนื่องจากกรณี “จ่าสิบเอก” กองทัพบก
ก่อเหตุสังหารผู้บังคับบัญชา ปล้นชิงอาวุธปืนจากค่ายทหาร นำไปกราดยิงกลางเมืองและภายในห้างเทอร์มินอล 21 จ.นครราชสีมา ทำให้ประชาชนและเจ้าหน้าที่เสียชีวิต 30 ราย บาดเจ็บสาหัสและไม่สาหัสกว่าครึ่งร้อย
โศกนาฏกรรมนี้ไม่เพียงสร้างความเศร้าสลดแก่คนไทย ยังก่อแรงสะเทือนต่อกองทัพบกรุนแรง นำมาสู่การหลั่งน้ำตาลูกผู้ชายต่อหน้าสื่อมวลชนไทยและต่างประเทศ เมื่อช่วงเช้าวันที่ 11 กุมภาพันธ์
“ในฐานะ ผบ.ทบ.ต้องขอโทษและขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ที่ผู้ก่อเหตุเป็นกำลังพลของกองทัพบก ผมขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัว ประชาชน ตลอดจนข้าราชการที่ต้องเสียชีวิตในการปฏิบัติหน้าที่ เสียใจกับประชาชนที่ได้รับบาดเจ็บอีกจำนวนมาก” พล.อ.อภิรัชต์กล่าวเริ่มต้นการแถลง
จากนั้นได้ชี้แจงเหตุการณ์ตามลำดับเวลาตั้งแต่ต้นจนจบ
โดยยอมรับว่า แรงจูงใจการก่อเหตุ เนื่องจากผู้ก่อเหตุไม่ได้รับความเป็นธรรมจากผู้บังคับบัญชาและเครือญาติที่มีการซื้อ-ขายที่ดิน ผิดสัญญากันในเรื่องผลตอบแทน ซึ่งต้องสืบต่อว่ามีใครที่เป็นผู้บังคับบัญชาเกี่ยวข้องอยู่อีกบ้าง
“ณ วินาทีที่ผู้ก่อเหตุลั่นไกสังหารคู่กรณี ณ วินาทีนั้น เขาคืออาชญากร ไม่ใช่ทหารอีกต่อไป”

ช่วงตอบคำถามสื่อ เมื่อถามว่าจะรับผิดชอบอย่างไรในฐานะผู้บังคับบัญชาสูงสุดของกองทัพบก
พล.อ.อภิรัชต์กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่ปฏิบัติการทางทหาร เป็นเรื่องการบาดหมางใจ การก่ออาชญากรรม กองทัพบกก็รับผิดชอบทั้งส่วนผู้ก่อเหตุและคู่กรณีตามมาตรฐาน
ข้อเรียกร้องให้รับผิดชอบด้วยการลาออกนั้น แม้ผู้ก่อเหตุเป็นกำลังพลกองทัพบก แต่ได้ก่อเหตุที่ไม่ใช่การปฏิบัติภารกิจของกองทัพบก เช่น ทหารขนยาเสพติด ค้าอาวุธสงครามแล้วถูกตำรวจวิสามัญฯ อยากถามว่าสมควรใช้คำถามนี้กับตนหรือไม่
“ทุกวิกฤตที่ผ่านมาจนกำลังจะเกษียณอายุราชการ อะไรที่สั่งผู้ใต้บังคับบัญชาทำ ผมรับผิดชอบ แต่ผมไม่สามารถรับผิดชอบต่อการกระทำที่เป็นเหตุการณ์ส่วนตัว การก่ออาชญากรรม การทำผิดกฎหมาย ฝ่าฝืนระเบียบวินัย อันนั้นผมรับไม่ได้”

ต่อมา พล.อ.อภิรัชต์ให้สัมภาษณ์ขยายความหลายเรื่อง เช่น จะเปิดศูนย์คอลเซ็นเตอร์ รับเรื่องร้องเรียนจากกำลังพลทุกระดับที่ถูกผู้บังคับบัญชาเอาเปรียบ ว่าพยายามเปิดให้ได้ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์
เรื่องทรัพย์สินที่ดินราชพัสดุ จะนำสวัสดิการดั้งเดิมของกองทัพบก เช่น สนามกอล์ฟ โรงแรม สนามมวย ไปหารือกับกระทรวงการคลัง ให้เป็นโครงการสวัสดิการเชิงพาณิชย์
ได้รับมาต้องแบ่งให้กระทรวงการคลัง จากนั้นกระทรวงการคลังจะพิจารณาสัดส่วนคืนให้เป็นสวัสดิการกองทัพบก โดยการบริหารจัดการจะให้เอกชนเข้ามาดำเนินการเป็นส่วนใหญ่ เพราะเป็นมืออาชีพ
ผบ.ทบ.กล่าวปฏิเสธ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ไม่เกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ เรื่องเงินนอกงบประมาณของกองทัพ เพราะได้ทำมาก่อนแล้วเป็นการภายใน
การจัดระเบียบยุทโธปกรณ์ หากยังหละหลวมก็ต้องเพิ่ม
เรื่องกำลังพลกองทัพบกที่มีจำนวนมาก ก็ต้องเลย์ออฟออกไป มีมากก็ไม่ต้องทำงาน ไม่ว่าเด็กใคร ค่ายไหนไม่สน อย่ามาอ้าง ทุกวันนี้มีการมาฝากเป็นโน่นเป็นนี่ อาจจะมีจดหมายหลุดมาบ้าง ถือว่ากล้าหาญมาก แต่ตนก็พิจารณา ถ้าไม่ดี คนเสนอต้องรับผิดชอบ
ทุกวันนี้ทหารต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่มีค่าย

คำพูดเคล้าน้ำตา พร้อมการขยายความข้างต้น
ต้องยอมรับว่า การขานรับ ใช่จะมีแค่ปฏิกริยาเชิงบวกเท่านั้น
ยังมีปฏิกริยาเชิงลบ ทั้งที่มองว่าสร้างภาพ เอาตัวรอด ตัดตอน ไม่รับผิดชอบ
ซึ่ง พล.อ.อภิรัชต์ ก็คงทราบดี แต่ก็พยายามเลี่ยงไปในทางดีว่า ว่าภายหลังการแถลงเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น
ส่วนน้ำตาที่หลั่งออกมา เนื่องจากเป็นคนอารมณ์อ่อนไหว มิใช่การสร้างภาพ
แต่ปฏิกริยา บวกหรือ ลบ คงไม่ใช่ “หัวใจ”ของเรื่องทั้งหมด
สิ่งที่เป็นหัวใจ ก็คือ ทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์ใหญ่ๆ สังคมไทยควรต้องถอดบทเรียน นำไปสู่การแก้ไขป้องกันปัญหาระยะยาว ไม่ให้เกิดขึ้นอีก
กรณีกราดยิงโคราช 30 ศพก็เช่นกัน ต้องนำไปสู่การถอดบทเรียนเพื่อการปฏิรูปกองทัพ
ทั้งหมดต้องไม่จบลงเพียงแค่คำแถลงขอโทษ หรือแสดงความเสียใจ แต่ต้องจบลงตรงการลงมือปฏิบัติในสิ่งที่เป็นการพัฒนา ปรับปรุงไปจนถึงปฏิรูปกองทัพให้ดีขึ้นตามที่สังคมคาดหวังและเสียสละ
ถ้าทำไม่ได้ หรือไม่ทำตามสิ่งที่ประกาศไว้
โศกนาฏกรรมกราดยิงโคราช จะเป็นแค่บทเรียนอันไร้ความหมาย
ซ้ำเติมความเชื่อมั่นต่อกองทัพตกต่ำกว่าเดิม
และจะทำให้ ผบทบขทปชช–ผู้บัญชาการทหารบกขอโทษประชาชน
เป็นเพียงลมปากที่จางหายไปในที่สุดเท่านั้น!
—————