“บิ๊กตู่” กลางสงคราม “4 ศึก” บน “เรือแป๊ะ” ขึ้นสนิม

ผ่านมา 6 เดือน กับรัฐบาล “ตู่รีเทิร์น” ที่ต้องเจอ “4 ศึก” พร้อมกันทั้ง “ศึกใน” หรือที่เรียกกันว่า “ศึกสามก๊ก” และ “รักสามเส้า” ระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล “พลังประชารัฐ-ประชาธิปัตย์-ภูมิใจไทย” ที่มีปัญหากันเองภายใน

จุดเริ่มแรกที่เห็นได้ชัดคือความไม่เป็นเอกภาพของ “รัฐมนตรีสายเศรษฐกิจ” หลังรองนายกฯ “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” แม่ทัพเศรษฐกิจไม่สามารถคุมทีมได้ทั้งหมดเฉกเช่นในยุค คสช.

เพราะแต่ละกระทรวงมีเจ้ากระทรวงที่มาจากต่างพรรค ทำให้งานด้านเศรษฐกิจมีลักษณะต่างคนต่างทำตามนโยบายที่พรรคตัวเองหาเสียงไว้

เช่น “อุตตม สาวนายน” รมว.คลัง ก็ทำหน้าที่ “ซานตาคลอส” แจกเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ

“เสี่ยโอ๋-ศักดิ์สยาม ชิดชอบ” รมว.คมนาคม ในฐานะเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย ก็มีความเป็นตัวเองสูง ตามที่ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล หน.พรรคภูมิใจไทย เคยระบุไว้

“จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์” รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ ก็รับบท “เซลส์แมนประเทศ” เดินหน้าโครงการประกันราคาสินค้าเกษตร และเดินสายไปต่างประเทศเพื่อขายสินค้าไทย

ไม่นับรวมรอยร้าวเก่าจากนโยบาย “แบน 3 สารพิษ” ที่กลายเป็น “ศึก 3 ก๊ก”

ไม่ใช่แค่งานในฝ่ายบริหารที่สะดุด แต่งานในสภาก็ไม่ราบรื่น หลังมีเหตุการณ์สภาล่มถึง 2 ครั้ง จนฝ่ายค้านชนะโหวตญัตติตั้ง กมธ.วิสามัญเพื่อศึกษาผลกระทบจากการกระทำประกาศ, คำสั่งของ คสช. และการใช้อำนาจของหัวหน้า คสช. ตามมาตรา 44 หรือที่เรียกว่า “กมธ.เช็กบิล คสช.”

ฝ่ายรัฐบาลต้องแก้เกมขอให้มีการโหวตใหม่ จนฝ่ายค้านวอล์กเอาต์ออกจากห้องประชุม กระทั่งมี “งูเห่าหลากสี” ปรากฏตัวให้เห็น ถือเป็นผลพวงของ “รัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ”

ต่อมา “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม จึงต้องจัดงานเลี้ยง “แกนนำพรรคร่วมรัฐบาล” ขึ้นที่สโมสรราชพฤกษ์ และตามมาด้วยงานเลี้ยง ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล เพื่อกระชับสัมพันธ์

ในช่วงเวลานั้น ถือเป็นครั้งแรกๆ ที่ “บิ๊กตู่” พูดถึงบทบาท “3 ป.บูรพาพยัคฆ์” อย่างชัดเจน ในการเป็นแกนหลักของรัฐบาล

“นี่คือ 3 ป. มีปัญหาอะไรหรือเปล่า? ไม่มี 3 ป. เราจะทำอะไรได้ 2 คนนี้คือลูกพี่ฉัน สอนฉันให้เป็นคนดี สอนฉันให้ทำหน้าที่เพื่อชาติบ้านเมือง จะทำหน้าที่เพื่อบ้านเมือง ถ้าไม่มีพี่ทั้ง 2 คน พี่ป๊อกและพี่ป้อม ฉันก็มีวันนี้ไม่ได้

“ทุกอย่างไม่มีเพื่อตัวฉัน แต่เพื่อประเทศไทย เข้าใจหรือยัง ทุกพรรคไม่ว่าจะเป็นพรรคเล็กพรรคน้อย ทั้งหมดจะเดินหน้าเพื่อประเทศไทย” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

ล่าสุดก็เกิดมหากาพย์ “เสียบบัตรแทนกัน” ในการโหวตรับร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ ปี 2563

เริ่มจาก “นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ” รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อดีต ส.ส.พัทลุง ออกมาแฉกรณีการเสียบบัตรรายงานตัวแทน “ฉลอง เทอดวีระพงศ์” ส.ส.พัทลุง พรรคภูมิใจไทย ที่เพิ่งเอาชนะ “นิพิฏฐ์” ในการเลือกตั้งหนก่อน

รวมทั้งแฉ “นาที รัชกิจประการ” ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย ในกรณีคล้ายคลึงกัน โดย “นาที” ได้ชื่อว่าเป็นคีย์แมนสำคัญที่ทำให้พรรคภูมิใจไทยกวาดเก้าอี้ ส.ส.ภาคใต้มาได้หลายที่

แน่นอนว่าการออกมาของ “นิพิฏฐ์” ครั้งนี้ ก่อให้เกิดคำถามต่างๆ มากมาย แต่ที่ถูกมองเห็นได้ชัดเจนคือ ความขัดแย้งระหว่าง “ภูมิใจไทย-ประชาธิปัตย์” ซึ่งตามมาด้วยมหกรรม “แฉรายวัน” ในเรื่องการเสียบบัตรแทนกัน

“ก็ต้องไปถามคนฟ้องดู อย่ามาถามผม ผมไม่ได้ไปเกี่ยวข้องด้วย สรุปก็คือว่า ไม่ควรไปกระทำ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนก็ตาม ก็ไม่ควรจะกระทำ ถ้ารู้ว่ามันผิดกติกาของสภา เอาอย่างงี้ ผมก็ตอบแบบนี้ก็แล้วกัน” นายกฯ ให้สัมภาษณ์สื่อในประเด็นนี้อย่างสงวนท่าที

การที่ พ.ร.บ.งบประมาณยังค้างคาไร้ทางออก และต้องรอฟังคำวินิจฉัยในกรณี “เสียบบัตรแทนกัน” จากศาลรัฐธรรมนูญ ย่อมส่งผลต่อการบริหารงานของรัฐบาล

รองนายกฯ “วิษณุ เครืองาม” ย้ำว่าเรื่องนี้มีหลายทางออก พร้อมแง้มถึง ม.143 ของรัฐธรรมนูญ 2560 ที่เปิดช่องไว้ว่า หากสภาพิจารณากฎหมายใดไม่แล้วเสร็จภายใน 105 วัน ให้ถือว่าสภาเห็นชอบ

พร้อมเปรียบเทียบว่ากรณีนี้แตกต่างจากกระบวนการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญในปี 2556 และร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ในปี 2557 ซึ่งเสียไปเพราะกระบวนการไม่ถูกต้อง

เนื่องจากตอนนั้นการพิจารณากฎหมายทั้ง 2 ฉบับยังไม่มีกำหนดเวลา เมื่อถูกวินิจฉัยว่าเสียจึงต้องเสียไป

รัฐบาลยังต้องเผชิญ “ศึกนอก” จากพรรคฝ่ายค้าน นำโดยพรรคเพื่อไทยและพรรคอนาคตใหม่ ในศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ

ผู้มีรายชื่อถูกซักฟอกได้แก่ พล.อ.ประยุทธ์, “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ, “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย, รองนายกฯ วิษณุ, ดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.การต่างประเทศ และ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์

เรียกได้ว่าพี่น้อง “3 ป.” กอดคอกันโดนซักฟอก แม้ตอนแรกจะไม่มีชื่อ พล.อ.ประวิตร ท่ามกลางกระแสข่าวเกิด “ดีลพิเศษ” ทางการเมืองขึ้น จนทำให้ พล.อ.ประวิตร กับ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธานคณะกรรมการกิจการพิเศษ พรรคเพื่อไทย ต้องออกมายืนยันว่าไม่มีดีลใดๆ

ทั้งนี้ แม้จะมีแต่รัฐมนตรีโควต้าพรรคพลังประชารัฐที่ถูกซักฟอก โดยไม่มีรัฐมนตรีจากพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ ถูกจองกฐิน ทว่า “บิ๊กตู่” ก็สั่งการให้รัฐมนตรีรายอื่นๆ ช่วยชี้แจงในสภาเช่นกัน

อย่างไรก็ดี พรรคร่วมฝ่ายค้านเพิ่งเกิดสภาพ “แพแตก” หลัง “สุภดิช อากาศฤกษ์” รักษาการหัวหน้าพรรคเศรษฐกิจใหม่ได้ทำหนังสือถึงผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร แจ้งมติการประชุมกรรมการบริหารพรรค โดยระบุว่า พรรคขอ “ถอนตัวจากพรรคร่วมฝ่ายค้าน” เพื่อทำงานตามอิสระ ตามแนวทางของตนเอง

นอกจากนี้ ยังมี “ศึกใหม่” ที่รัฐบาลต้องเผชิญคือ “ฝุ่นพิษ PM2.5” และ “เชื้อไวรัสโคโรนา” ถือเป็นอุปสรรคขวากหนามที่วัดฝีมือรัฐบาลไม่น้อย โดยเฉพาะ “ภาวะผู้นำ” ของ พล.อ.ประยุทธ์ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์หนัก รวมทั้งความตื่นตัวในการแก้ปัญหา

ไม่นับปัญหาเก่าที่กลับมาตามวงรอบอย่าง “ภัยแล้ง” ที่ส่งผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาล

ศึกท้ายสุดของรัฐบาลคือ “ศึกเดิม” อย่างปัญหาเศรษฐกิจที่ พล.อ.ประยุทธ์ก็ทราบถึงปัญหานี้ดี และเป็นปัจจัยสำคัญของการดำรงอยู่ของรัฐบาล เพราะเป็นเรื่องปากท้องประชาชน

นายกฯ ยอมรับว่าพรรคพลังประชารัฐไม่ได้คุมกระทรวงเศรษฐกิจทั้งหมด เพราะเป็นสัดส่วนตามระบอบประชาธิปไตย ครม.ใหม่จึงต้องทำงานตามกลไกใหม่ แต่ก็มีแนวทางแก้ปัญหา เช่น ตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนขึ้นมาเป็นวาระแห่งชาติ

โดยมีรองนายกฯ รับผิดชอบเรื่องกรรมการขับเคลื่อนเอสเอ็มอีหรือการลงทุน คล้ายกับการเป็นรองนายกฯ ฝ่ายเศรษฐกิจ

ส่วนจะมีการดึงคนนอกมาร่วมงานด้วยหรือไม่นั้น พล.อ.ประยุทธ์ระบุว่ายังไม่มี และยังไม่ได้คิดอะไรเลย เฉพาะคนในก็มีตำแหน่งรองรับไม่พออยู่แล้ว และต้องรอมติของพรรคการเมืองต่างๆ ด้วย เพราะในพรรคร่วมรัฐบาล 19 พรรค หลายคนก็อยากมีสัดส่วนใน ครม.

ทั้ง “4 ศึก” นี้ทำเอา “บิ๊กตู่” ถึงกับ “ตัดพ้อ-ขอกำลังใจ” กลางโรงเรียนเตรียมทหาร ในงานวันสถาปนาครบ 62 ปี โดยนายกฯ ทราบดีถึงกระแสวิพากษ์วิจารณ์ และพร้อมจะเดินหน้าแก้ไขปัญหาต่อไป โดยย้ำว่าไม่เคยทำให้สถาบันเตรียมทหารเสื่อมเสีย

ทั้ง “4 ศึก” จึงเป็นบทพิสูจน์ว่าบันทึกประวัติศาสตร์การเมืองไทยจะจดจำชื่อ “ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ไว้อย่างไร

เมื่อ “เรือแป๊ะ” เริ่มกร่อนด้วยฤทธิ์สนิม