วรศักดิ์ มหัทธโนบล : ในวงล้อมของโรคระบาดในจีน

วรศักดิ์ มหัทธโนบล

สัปดาห์นี้ขอคั่นบทความจักรวรรดิราชวงศ์ถังด้วยบทความไวรัสโคโรนาสักสัปดาห์ เนื่องจากได้เห็นข่าวนักเรียนไทยที่อยู่ที่เมืองอู่ฮั่นของจีนที่เป็นเมืองต้นทางของโรคระบาด และถูกทางการจีนสั่งปิดเมืองห้ามบุคคลเดินทางเข้า-ออกเพื่อป้องกันการระบาดของโรคแล้ว

ทำให้คิดถึงตนเองเมื่อครั้งที่ตกอยู่ในสถานการณ์ของโรคระบบทางเดินหายใจเฉียบพลัน (Severe Acute Respiratory Syndrome – SARS)

หรือโรคซาร์ส

จึงอยากบอกเล่าประสบการณ์ของตนบ้าง เผื่อจะเป็นประโยชน์ต่อสถานการณ์ในขณะนี้ไม่มากก็น้อย

โดยเฉพาะในประเด็นความเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกและสถานการณ์บางด้านของชาวจีน

 

ประสบการณ์ของผมเกิดขึ้นเมื่อต้นปี ค.ศ.2003 เวลานั้นผมมีโอกาสได้ไปนั่งทำงานวิชาการอยู่ที่คุนหมิงซึ่งเป็นเมืองเอกของมณฑลอวิ๋นหนัน (ยูนนาน) เป็นเวลาเดือนครึ่ง โดยก่อนที่จะเดินทางไปผมรู้มาก่อนแล้วว่าได้เกิดโรคซาร์สขึ้นในจีน แต่ข่าวแจ้งว่าทางการจีนสามารถควบคุม (เอาอยู่) ได้แล้ว

เวลานั้นตรงกับเดือนมีนาคม เมื่อผมไปถึงใหม่ๆ ก็ใช้เวลาว่างติดตามข่าวการระบาดของโรคดังชาวจีนทั่วไป ซึ่งดูจากข่าวแล้วก็ไม่มีอะไรที่ร้ายแรง

ที่สำคัญ มณฑลที่ผมอยู่นั้นโรคระบาดมาไม่ถึง จึงทำให้วางใจไปเปลาะหนึ่ง

แต่พอเวลาผ่านไปหลายวันเข้า ข่าวดังกล่าวก็เริ่มเปลี่ยนไป คือจากที่ฟังดูปกติก็เริ่มไม่ปกติ

ข่าวที่ว่าทางการจีนเอาอยู่ก็ปรากฏว่าเอาไม่อยู่

และที่เอาไม่อยู่ก็เพราะทางการจีนไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลของโรคและผู้ป่วยอย่างตรงไปตรงมา จนสถานการณ์เลวร้ายลงไปเรื่อยๆ

โรคที่ระบาดเพียงไม่กี่เมืองเริ่มแผ่ไปยังเมืองอื่น จำนวนคนป่วยและเสียชีวิตเพิ่มขึ้นในแต่ละวันจนเกิดความตึงเครียด

โดยเฉพาะองค์การอนามัยโลกที่ได้เข้าไปช่วยเหลือจีนอย่างกระตือรือร้นนั้น เมื่อได้ข้อมูลที่ผิดๆ ก็ยิ่งทำให้การป้องกันหรือรักษายากขึ้น

 

จากเหตุนี้ จีนจึงถูกวิพากษ์วิจารณ์จากสังคมโลกอย่างรุนแรง และกว่าจีนจะยอมรับความจริงก็ต้องปลดรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขออกไป แล้วตั้งคนใหม่ที่มีความน่าเชื่อถือของสังคมโลกมาแทน

หลังจากนั้นมาตรการต่างๆ ก็ถูกทยอยนำออกมาใช้ ซึ่งตอนนั้นสถานการณ์กำลังเลวร้ายอย่างถึงที่สุดแล้ว

และมาตรการหนึ่งก็คล้ายๆ กับตอนนี้ คือห้ามมิให้ชาวจีนที่อยู่ในเมืองที่มีการระบาดของโรคออกนอกเคหสถาน

โดยหนึ่งในเมืองนั้นคือปักกิ่ง จากนั้นมาชาวจีนก็เริ่มเครียด

ตอนที่ชาวจีนเครียดนั้น ผมคิดว่าคงจะเครียดเพราะทำอะไรไม่สะดวกดังที่เคย ถ้าเครียดแบบนี้ก็เข้าใจได้ เพราะถ้าเป็นเราก็คงเครียดไม่ต่างกัน

แต่เปล่าครับ ตอนนั้นชาวจีนไม่ได้เครียดในแบบที่ว่าเท่านั้น แต่ยังเครียดไปจนถึงการแสดงออกอย่างยากที่จะเข้าใจได้อีกด้วย

เพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่ง (ไทย) ที่เรียนอยู่ที่ปักกิ่งในเวลานั้นเล่าให้ฟังว่า เธอได้โทรศัพท์ไปหาอาจารย์ของเธอเพื่อไถ่ถามทุกข์สุข แต่สิ่งที่เธอได้รับกลับเป็นว่า อาจารย์ที่มีจิตใจดี มีน้ำใจ มีความเมตตา และความสุภาพ กลับตะคอกใส่เธอด้วยน้ำเสียงที่รุนแรงจนเธอตกใจ

ตอนแรกเธอพยายามบอกว่าเธอคือใคร (เผื่ออาจารย์คิดว่าเธอเป็นคนอื่น) อาจารย์ตอบว่าท่านรู้ดีว่าเธอเป็นใคร จากนั้นก็ใช้วาจาที่รุนแรงกับเธอเหมือนโกรธมาเป็นชาติ และก่อนที่จะวางหูท่านได้พูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่เด็ดขาดว่า อย่าโทร.มาอีก

สิ่งที่เธอได้รับในวันนั้นรุนแรงเกินกว่าที่เธอจะรับได้หรือเข้าใจได้

 

หลังจากที่ผมฟังเรื่องที่เธอเล่าแล้ว อีกไม่กี่วันต่อมาผมก็ไปเล่าให้เพื่อนชาวจีนที่สนิทกันฟังด้วยความสงสัยว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น เพื่อนชาวจีนตอบว่า ตอนนี้ชาวจีนในเมืองที่ต้องเจอกับมาตรการที่ว่าต่างก็เป็นเช่นนี้ อันที่จริงแล้วอาจารย์ท่านนั้นนิสัยใจคอไม่ได้เปลี่ยน แต่ทำไปเพราะเครียด

ผมตอบไปว่า ทำยังกะโรคจะแพร่ไปทางโทรศัพท์ยังงั้นแหละ เพื่อนจีนตอบว่า ชาวจีนเขารู้สึกเช่นนั้นจริงๆ ผมฟังแล้วก็ได้แต่อึ้งด้วยความไม่เข้าใจ จนเวลาผ่านไปอีกวันสองวัน เหตุการณ์ใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นก็เริ่มทำให้ผมเข้าใจอะไรมากขึ้น

กล่าวคือ ในตอนแรกที่ผมบอกว่าเมืองที่ผมอยู่นั้นโรคระบาดมาไม่ถึง แต่จากการปกปิดข้อมูลแต่แรกจนเมื่อความแตก คราวนี้ชาวจีนในเมืองที่โรคระบาดไปไม่ถึงก็เกิดความโกลาหลขึ้น ซึ่งย่อมรวมถึงเมืองคุนหมิงที่ผมพำนักอยู่ด้วยเช่นกัน จนต้องบอกกับตัวเองว่า ถ้าไม่เห็นกับตาก็คงไม่เชื่อ

เวลานั้นโซเชียลมีเดียไม่ได้แพร่หลายดังทุกวันนี้ ข่าวจริงข่าวลวงจึงแพร่ไปแบบปากต่อปาก ใครตั้งสติไม่ได้ ปัญญาก็แตก

 

และข่าว (ลวง) ข่าวหนึ่งที่แพร่ระบาดในเวลานั้นก็คือ หากนำน้ำส้มสายชูหรือจิ๊กโฉ่ (ที่เราใช้จิ้มกินกับติ่มซำ) มาต้มให้กลิ่น (เปรี้ยว) คลุ้งในห้องพักแล้วจะป้องกันโรคระบาดได้ พอข่าวนี้แพร่ออกไปก็เกิดความโกลาหลในหมู่คนที่เชื่อ คนเหล่านี้ต่างเข้าไปในห้างบ้าง ในร้านค้าบ้าง เพื่อแย่งกันซื้อจิ๊กโฉ่จนวุ่นวายไปหมด

คือแย่งกันจนเกิดการชกต่อยกันขึ้น

ในเมืองคุนหมิงที่ผมอยู่นั้น ผมได้เห็นภาพของผู้คนที่ยืนเข้าแถวยาวเพื่อซื้อจิ๊กโฉ่ ซึ่งยังดีที่ไม่ถึงกับแย่งกันจนเกิดความวุ่นวาย แต่ที่ผมเห็นอย่างแน่นอนก็คือ ความเครียดของคนในคุนหมิง ที่แม้จะอยู่ในเมืองที่โรคระบาดมาไม่ถึง แต่ก็เครียดเหมือนกัน

และจุดที่ทำให้เครียดหนักก็คือ การที่ทางการจีนยังมิอาจควบคุมการแพร่ระบาดของโรคได้ ยิ่งเวลาผ่านไปพร้อมกับรายงานสถานการณ์ที่เลวร้ายลงเรื่อยๆ ผู้คนก็ยิ่งเครียดหนักขึ้น สรุปคือ ผู้คนต่างกลัวว่าโรคจะระบาดมาถึงเมืองที่ตนอยู่ด้วย

ตอนนี้แหละครับ ที่ผมซึ่งแต่เดิมไม่ได้เครียดอะไรกับเขาก็เริ่มเครียดบ้าง เป็นความเครียดที่เกิดความรู้สึกไม่ไว้วางใจการระบาดของโรค ว่าจะมาถึงตัวเราเมื่อไร และถ้ามาถึงแล้วจะทำอย่างไร ซึ่งตอนนั้นจีนยังไม่ได้เจริญและรวยเหมือนตอนนี้

 

จากความเลวร้ายของสถานการณ์ในเวลานั้น ทำให้ผมมองเห็นอะไรบางอย่าง แล้วผมก็นำสิ่งที่ผมเห็นไปบอกเพื่อนจีนของผมว่าทางการจีนกำลังตกอยู่ในภาวะทวิบถ (dilemma) คือจะประกาศถึงความเลวร้ายของโรคด้วยข้อมูลที่เป็นจริง ชาวจีนที่ตั้งสติไม่ได้ก็จะโกลาหลวุ่นวายจนยากแก่การควบคุมดังกรณีแย่งกันซื้อจิ๊กโฉ่ แต่ครั้นไม่ประกาศโรคก็จะระบาดลามไปเรื่อยๆ โดยที่ชาวจีนก็ไม่ได้ป้องกันแต่อย่างไร (เพราะไม่รู้)

ผมตกอยู่ในวงล้อมของโรคระบาดด้วยสภาพที่เล่ามาโดยสังเขป แต่ละวันที่ติดตามข่าวสารของทางการจีนก็ว่าเครียดแล้ว แต่พอมาเห็นชาวจีนเครียดก็ยิ่งทำให้เครียดหนักขึ้น ตอนนั้นผมไม่มีปัญหาเรื่องการกินการอยู่ ร้านค้าร้านอาหารยังเปิดตามปกติ เงินทองก็มีจับจ่ายใช้สอย แต่มันก็เครียด

วันๆ ได้แต่นับถอยหลังให้ถึงวันที่จะกลับเมืองไทย

ดังนั้น มาวันนี้ที่ผมได้ยินได้ฟังนักเรียนไทยและคนไทยบอกเล่าสถานการณ์ของตนแล้ว ผมจึงเข้าใจความรู้สึกดีว่าคงไม่ต่างกับผมในเวลานั้นมากนัก

กล่าวคือ ชาวไทยที่จีนเวลานี้คงไม่ได้เดือดร้อนเงินทอง ส่วนอาหารนั้นคงเดือดร้อนบ้างโดยเฉพาะที่อู่ฮั่น แต่เท่าที่ฟังมาจนถึงวันที่กำลังเขียนบทความอยู่นี้ อาหารยังคงพอหาได้

แต่ที่ผมว่าเครียดไม่ต่างกับผมตอนนั้นก็คือ ความไม่ไว้วางใจในโรคระบาด ว่าจะลามมาถึงตัวเมื่อไร ถึงแม้จะป้องกันตนเองอย่างดีแล้วก็ตาม

 

ถึงกระนั้น ผมก็อยากจะฝากข้อคิดอย่างหนึ่งว่า สถานการณ์ตอนนั้นกับตอนนี้ต่างกันอย่างชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ ตอนนี้ทางการจีนไม่ได้ปกปิดข้อมูลดังแต่ก่อน จีนเปิดรับและให้ความร่วมมือกับองค์การอนามัยโลกเป็นอย่างดีและเปิดเผย

มาตรการต่างๆ ที่จีนใช้อยู่ในขณะนี้ซึ่งรวมทั้งการปิดเมืองจนนักเรียนไทยกลับบ้านไม่ได้ ส่วนหนึ่งเป็นไปเพื่อป้องกันการระบาดของโรคที่จีนได้สรุปบทเรียนจากเมื่อเกือบ 20 ปีก่อน ซึ่งสำหรับผมถือว่าดีกว่าเมื่อครั้งกระนั้นอย่างเทียบกันไม่ได้

แต่ก็เช่นเดียวกันว่า ถ้าถึงขนาดปิดเมืองแล้วยังล้มเหลว จีนก็คงปฏิเสธความรับผิดชอบไปไม่ได้เช่นกัน งานนี้จึงมีแต่ต้องเอาใจช่วย

ก่อนจบขอเล่าต่อถึงเพื่อนของผมที่ถูกอาจารย์ของเธอเทคนนั้นว่า หลังจากที่สถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติแล้ว อาจารย์ของเธอได้ขอโทษเธอพร้อมกับบอกว่า ตอนนั้นเครียดจริงๆ จึงแสดงกิริยาไปเช่นนั้น คิดถึงตอนนั้นแล้วก็มาคิดถึงตอนนี้

ว่าตอนนี้ข่าวที่น่าเครียดกว่าข่าวไวรัสโคโรนาก็คือข่าวลวง (fake news)