วิรัตน์ แสงทองคำ : กรณ์ จาติกวณิช

วิรัตน์ แสงทองคำviratts.wordpress.com

ความเคลื่อนไหวสำคัญของคนบางคนมีความหมายเชิงสังคม บางทีเป็นปรากฏการณ์จากแรงกระเพื่อม บางทีเป็นทางเลือก ท่ามกลางกระแสซึ่งมีทางแยก

เรื่องราวของคนคนนี้อาจตีความได้เช่นนั้น

 

ภูมิหลัง

กรณ์ จาติกวณิช-ต้นตระกูลทางฝ่ายบิดา เป็นชาวจีนฮกเกี้ยน ตั้งรกรากในสยามตั้งแต่รัชกาลที่ 5

ส่วน “จาติกวณิช” หรือ “Chatikavanij” เป็นนามสกุลพระราชทานสมัยรัชกาลที่ 6 ให้กับพระยาอธิกรณ์ประกาศ (หลุย) ลูกหลานชาวฮกเกี้ยนซึ่งเกิดที่กรุงเทพฯ เรียนโรงเรียนอัสสัมชัญ บางรัก

มีประสบการณ์ทำงานในช่วงต้น กับกิจการแห่งอาณานิคม (เสมียนห้างบอร์เนียว) ก่อนจะมารับราชการตำรวจอย่างยาวนาน (2441-2475) จากล่ามภาษาอังกฤษ จนเป็นอธิบดีกรมตำรวจภูธร (ถือว่าเทียบเคียงกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ปัจจุบัน) คนที่ 2 ของไทย (2472-2475)

และเป็นองคมนตรีในสมัยรัชกาลที่ 7 (2466) ด้วย

พระยาอธิกรณ์ประกาศ มีภรรยา 2 คน ภรรยาคนที่สอง มีบุตรชายคนสำคัญ 2 คนซึ่งควรกล่าวถึง คือ เกษม จาติกวณิช (ผู้มีบทบาทในการพัฒนาพลังงานของไทย ในฐานะผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยคนแรก)

และ ไกรสีห์ จาติกวณิช อดีตอธิบดีกรมศุลกากรและกรมสรรพากร อดีตผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง

ซึ่งเป็นบิดาของกรณ์

เกษม จาติกวณิช บุคคลอ้างอิงสำคัญของกรณ์ มีความสัมพันธ์กับเครือข่ายตระกูลธุรกิจอิทธิพลเก่าแก่ในสังคมไทย ในฐานะเขยตระกูลล่ำซำ

ซึ่งตระกูลล่ำซำมีเครือข่ายวงศ์วานเชื่อมไปยังตระกูลธุรกิจสำคัญอื่นๆ อีก จะเรียกว่าเป็นพวก The Establishment ก็ได้

กรณ์ จาติกวณิช เกิด (ปี 2507) ที่อังกฤษ ขณะบิดาเป็นที่ปรึกษาเศรษฐกิจการคลัง สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงลอนดอน

เขาเคยบอกว่าคนที่มีอิทธิพลต่อเขาคือลุง (เกษม จาติกวณิช) คอยส่งเสริม สนับสนุนในเรื่องการศึกษาเล่าเรียน

เกษม จาติกวณิชเองเคยเรียนระดับมัธยมในต่างประเทศที่ฮ่องกง (St. Stephen”s College) ในยุคก่อนหน้ายุคหนึ่ง ที่ที่ซึ่งผู้มั่งคั่งไทยนิยมส่งบุตร-หลานไปเรียน

กรณ์ใช้เวลาศึกษาเล่าเรียนที่อังกฤษราวๆ 10 ปี จากระดับมัธยมศึกษา (Winchester College) จนถึงมหาวิทยาลัย (Oxford University) โดยเฉพาะปริญญาตรีในสาขา Philosophy, Politics and Economics หรือ PPE (ปี 2528) ถือเป็นจุดตั้งต้นที่ดี ทั้งให้ภาพสะท้อนแบบฉบับผู้มีอิทธิพลในสังคมไทย

จาก ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มาจนถึงพริษฐ์ วัชรสินธุ

 

จังหวะและโอกาส

กรณ์ จาติกวณิช เริ่มต้นทำงานที่ศูนย์กลางการเงินโลก ณ กรุงลอนดอนกับ S. G. Warburg & Co (วาณิชกรที่เริ่มต้นจากผู้มีเชื้อสายยิว สำนักงานใหญ่อยู่ลอนดอน ต่อมาในปี 2538 ถูก Swiss Bank Corporation ซื้อกิจการ)

“ขณะนั้นเป็นช่วงปลายปี 1985 ถึงปี 1986 เป็นช่วงของการปฏิรูปการเงินในประเทศอังกฤษที่เรียกว่า Big Bang พอดี ผมจึงมีโอกาสได้เรียนรู้เต็มที่ และการเข้าไปทำงานที่นี่ก็ทำให้ผมได้สร้างเครือข่ายที่มีผลเต็มร้อยกับการทำงานตลอดช่วงยี่สิบปีหลังจากนั้น” (จากหนังสือ “กรณ์ จาติกวณิช – ผู้ชาย ผู้ไม่แพ้” เรียบเรียงจากคำบอกเล่าของตนเอง ตีพิมพ์ปี 2551)

เมื่อเขากลับมาเมืองไทย ในจังหวะโอกาสได้เปิดขึ้น โดยเฉพาะสำหรับผู้รู้กลไกตลาดเงิน ตลาดทุน ตลาดหุ้นกำลังเติบโตมากที่สุดตั้งแต่ตั้งตลาดหุ้นไทยขึ้นมาก็ว่าได้ เงินลงทุนจากต่างประเทศทะลักเข้ามา ด้วยมุมมองที่ว่า ภูมิภาคนี้กำลังเติบโต

โอกาสของเขามาพร้อมกับการอ้างอิงกับการเติบโตของเศรษฐกิจไทย ตลาดหุ้น และปรากฏการณ์ปิ่น จักกะพาก ผู้สร้างอาณาจักรธุรกิจประหนึ่งชั่วข้ามคืนเวลานั้น

จากมืออาชีพแวดวงการเงิน
กับสายสัมพันธ์ที่อ้างไว้
เขากลายเป็น Start Up คนหนึ่ง

บล.เจ.เอฟ. ธนาคม เป็นบริษัทหลักทรัพย์ เกิดจากความร่วมมือระหว่างผู้ถือหุ้นต่างชาติ คือ Jardine Fleming 43% และผู้ถือหุ้นไทย คือ บง.เอกธนกิจ (ของปิ่น จักกะพาก) 31% ตระกูลจาติกวณิช 16% ก่อตั้งขึ้นเมื่อเดือนสิงหาคม 2531 โดยมีกรณ์ จาติกวณิช เป็นผู้บริหาร

Jardine Fleming กิจการ investment banker ก่อตั้งขึ้นที่ฮ่องกง ตั้งแต่ปี 2510 โดยร่วมทุนในเครือข่ายธุรกิจยักษ์ใหญ่อิทธิพลในฮ่องกง-Jardine Matheson ว่ากันว่ากลายเป็นตำนานอ้างอิงในหนังสือ Noble House ของ James Clavell

ก่อนจะถึงวิกฤตการณ์เศรษฐกิจปี 2540 บุคคลกลุ่มหัวขบวนสามารถสะสมความมั่งคั่งได้อย่างรวดเร็ว เมื่อเปรียบเทียบกับอดีต ถือเป็นโอกาสครั้งใหญ่มากกว่าครั้งใดๆ ของสังคมไทย

เมื่อเผชิญวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ ความมั่งคั่งที่ว่าถูกลดทอนไปมากทีเดียวอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน อย่างอาณาจักรเอกธนกิจอันยิ่งใหญ่ของปิ่น จักกะพาก ได้ล่มสลาย

กรณ์ จาติกวณิช ในฐานะปัจเจกคงได้รับผลกระทบบ้าง

ทว่ากรณ์ จาติกวณิช ยังมีโอกาสเปิดกว้างขวางให้อีกครั้ง ถือว่าเป็นครั้งใหญ่กว่า

 

หลังวิกฤตทางเศรษฐกิจ เป็นช่วงสำคัญต้องอดทนรอคอยโอกาส เป็นการรอคอยที่คุ้มค่า เวลา 4 ปีที่ผ่านไป เมื่อภาวการณ์กลับฟื้นตัวขึ้นมาระดับหนึ่ง โอกาสได้เปิดขึ้นอีกครั้ง

ในฐานะวาณิชธนากรแล้ว เขาดูจะพอใจกับดีลครั้งสุดท้ายในอาชีพมากกว่าครั้งใดๆ

“ตัวผมเองก็ไม่ได้เริ่มต้นด้วยการมีอะไรจากพ่อ-แม่มากนัก นอกจากเรื่องของการศึกษา และเงินเชื้อ หรือ seed money เมื่อครั้งที่ผมลงทุนคราวแรกใน บล.เจ.เอฟ. ธนาคม ซึ่งคุณพ่อให้เงินต้นผมมาลงทุน ผมแฮปปี้ที่เป็นแบบนี้ สามารถที่จะมีพัฒนาการทางด้านการทำงานของตัวเองได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาแรงผลักดันจากครอบครัว” (อีกตอนหนึ่งจากหนังสือ ผู้ชาย ผู้ไม่แพ้)

ปี 2544 ขายหุ้น เจ.เอฟ. ธนาคม ให้กับ JP Morgan Chase เป็นปีที่เขากล่าวว่า บรรลุเป้าหมายด้านการเงินที่ตั้งไว้ก่อน 5 ปี

“นับตั้งแต่ผมเป็นวาณิชธนากร ทำดีลมาแล้วไม่ต่ำกว่า 30-40 ดีล ผมคิดว่าดีลการขายกิจการ Retail Broking หรือตัวหลักทรัพย์รายบุคคลของ JP Morgan Securities (ชื่อของเจ.เอฟ.ฯ หลัง JP Morgan Chase ซื้อเราไป) ให้กับธนาคารกรุงเทพเป็นดีลที่งามที่สุด เพอร์เฟ็กต์ที่สุด ซึ่งดีลที่งามที่สุดในความหมายของผมคือ ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้ประโยชน์” (อ้างแล้ว)

ความสำเร็จที่กล่าวไว้ข้างต้นนั้นมิใช่นามธรรม เมื่อต้องแสดงทรัพย์สินต่อสาธารณชน ในฐานะรัฐมนตรีคลัง เขากลายเป็นรัฐมนตรีที่มีทรัพย์สินมากที่สุดในคณะรัฐบาลชุดนั้น (อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี 20 ธันวาคม 2551 – 9 สิงหาคม 2554)

มีมูลค่าเกือบหนึ่งพันล้านบาท

เป็นจังหวะและโอกาสที่สำคัญมากอีกครั้งหนึ่ง ต่อจากช่วงเวลาสะสมความมั่งคั่งจากอาชีพ ซึ่งใช้เวลาไม่ถึง 2 ทศวรรษ เมื่อตัดสินใจสู่การเมืองในปี 2548 กับพรรคการเมืองเก่าแก่ ซึ่งใครๆ มองว่าเข้ากับภูมิหลังของเขาอย่างดี

ในฐานะนักการเมือง กรณ์ จาติกวณิช ใช้เวลาเพียง 3 ปี ได้ก้าวสู่ตำแหน่งสำคัญ-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เวลานั้นเชื่อกันว่าจะมีอิทธิพลต่อสังคมมากขึ้นในฐานะผู้มีบุคลิกที่น่าสนใจ มีบทบาทการบริหารเศรษฐกิจไทย จากความคาดหวังไม่มาก สู่ความคาดหวังมากขึ้น

เมื่อนิตยสารการเงินของอังกฤษ (The Banker Magazine) ยกเป็น Finance Minister of the Year 2010 – Global and Asia-Pacific ซึ่งเน้นถึงความสำคัญในความร่วมมือในภูมิภาคอาเซียน ขณะสังคมไทยพอจะนึกถึง “แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง”

จากนั้นเมื่อมาถึงช่วงผันแปรทางการเมืองไทยในเวลาต่อมา กินเวลาพอสมควร บทบาทของกรณ์ จาติกวณิช ดูสับสนไปบ้าง

เมื่อมีการเลือกตั้งทั่วไปอีกครั้ง ครั้งล่าสุด บทบาทของเขาดูยังไม่เด่นชัด การตัดสินใจสำคัญอีกครั้ง เมื่อเขาเดินออกจากรัฐสภา เดินออกจากพรรคการเมืองเก่าแก่ เพื่อแสวงหาหนทางทางการเมืองของตนเอง จึงเชื่อกันว่ามาจากบทวิเคราะห์ว่าด้วยจังหวะและโอกาสใหม่ เฉกเช่นเดียวกับช่วงเวลาต่างๆ ในประสบการณ์ที่ผ่านมา เชื่อมโยงกับบริบททางสังคมไทยอยู่ในช่วงผันแปร

และเชื่อว่ามาจากแรงผลักดันของกลุ่ม ซึ่งมีพลังทางสังคมด้วย

 

สายสัมพันธ์

กรณ์ จาติกวณิช ให้ความสำคัญกับคุณค่าความสัมพันธ์ จากบุคคลซึ่งมีภูมิหลังคล้ายกัน สู่กลุ่มบุคคลในแวดวงการเงินในช่วง 15 ปีในการทำงานอาชีพ เคลื่อนไปสู่ความสัมพันธ์ที่กว้างขึ้นในทางการเมือง

หนังสือเรื่องเล่าของเขา (ตีพิมพ์ปี 2551–อ้างแล้ว) พาดพิงถึงบุคคลหลากหลาย แม้แต่เรื่องตนเอง พยายามสะท้อนความเป็นตัวตน มากกว่าระบบความคิดเชิงสังคม

จากนั้น กรณ์ จาติกวณิช พยายามสร้างความสัมพันธ์กว้างขึ้นอีก ให้ความสำคัญทั้ง Old media ตั้งแต่การผลิตหนังสือเล่าเรื่องตนเอง มีความสัมพันธ์ที่ดีกับสื่อไทยและเทศ ไปจนถึงเขียนบทความในหนังสือพิมพ์ไทย สู่ Social media เป็นอีกด้านหนึ่งที่เขาให้ความสำคัญที่แตกต่างอย่างน่าสนใจ

ดูเหมือนกรณ์ จาติกวณิช ขยับปรับเปลี่ยนบางระดับ ก้าวข้ามจากความสัมพันธ์กับบุคคล กลุ่มบุคคล สู่การเสนอความคิดสะท้อนยุทธศาสตร์ทางสังคม

เมื่อไม่นานมานี้ เขาอ้างความเห็น Dame Minouche Shafik อธิการบดีจาก LSE (London School of Economics and Political Science) สถาบันการศึกษาชั้นนำของสหราชอาณาจักร ที่ย้ำว่า

“มองว่าการแข่งขันที่ลดลงในโลกธุรกิจ (ที่นับวันมีการผูกขาดที่เพิ่มยิ่งขึ้น) เป็นปัญหาสำคัญ (ซึ่งผมคิดว่าส่วนสำคัญน่าจะมาจาก Big Tech) และ LSE มองว่านอกจากระบบเศรษฐกิจที่ต้องเปลี่ยนแล้ว เราควรต้องมี “Social Contract” (สัญญาประชาคม) ใหม่ด้วย ซึ่งต้องทำให้สังคมเป็นธรรมมากขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องที่เกี่ยวกับโอกาสการทำมาหากินของประชาชนทุกคน และโอกาสที่จะมีความก้าวหน้าในชีวิต” (Korn Chatikavanij FB fan page 27 พฤศจิกายน 2562)

ที่ควรสนใจอีกบางกรณี คือการก่อตั้งโครงการ “เกษตรเข้มแข็ง” และเป็นที่มาของ “แบรนด์ข้าวอิ่ม” ซึ่งเปิดตัวเมื่อปี 2557 “6 ปีกับการพลิกนาเคมี เป็นนาอินทรีย์เต็มตัว” ช่วยชาวนาขายข้าวได้ตันละ 23,000 บาท

(“อ้างจาก Korn Chatikavanij FB fan page 16 ธันวาคม 2562) และสมาคมฟินเทคประเทศไทย เมื่อปี 2559

เขาจะกลายเป็น “ตัวแทน” ทางเลือกที่น่าสนใจของสังคมไทยหรือไม่ เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่น่าติดตาม