บทความพิเศษ/นงนุช สิงหเดชะ /รัฐบาลเจอ Perfect Storm ‘ปัญหาร้ายแรง’ ประดังพร้อมกัน

บทความพิเศษ/นงนุช สิงหเดชะ

 

รัฐบาลเจอ Perfect Storm

‘ปัญหาร้ายแรง’ ประดังพร้อมกัน

 

Perfect Storm หรือ “พายุที่สมบูรณ์แบบ” สำหรับหลายคนอาจคุ้นชื่อจากการดูภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดที่มีการตั้งชื่อภาษาไทยว่ามหาพายุคลั่ง

แต่ความหมายแท้จริงของมันตามการอธิบายทางอุตุนิยมวิทยาคือลักษณะของพายุที่มีความรุนแรงมากกว่าปกติอันเนื่องจากปัจจัย 3 อย่างบังเอิญมาเจอกัน ซึ่งยากจะเกิดขึ้น หรือเกิดขึ้นไม่บ่อย

พายุที่สมบูรณ์แบบที่รู้จักกันกว้างขวางเกิดขึ้นเมื่อปี 1991 เริ่มจากการเกิดพายุเฮอร์ริเคนชื่อเกรซ ซึ่งเป็นแค่เฮอร์ริเคนระดับ 2 แต่บังเอิญว่าเฮอร์ริเคนลูกนี้ไปเจอกับอีก 2 ปัจจัยอย่างเหมาะเหม็ง คืออากาศอุ่นที่เกิดจากความกดอากาศต่ำที่มาจากทิศทางหนึ่ง และกระแสของอากาศเย็นและแห้งอันเนื่องจากความกดอากาศสูงที่มาจากอีกทิศทางหนึ่ง

เมื่อ 2 ปัจจัยนี้มาเจอเข้ากับความชื้นของเฮอร์ริเคนเกรซ จึงก่อเกิดเป็น Perfect Storm ที่สร้างความเสียหายรุนแรงต่อชายฝั่งตะวันออกของสหรัฐ

จากนั้นมา Perfect Storm ถูกนำมาใช้กับหลายอย่างเมื่อต้องการสื่อความหมายว่ามีเรื่องเลวร้ายมากๆ หรือแย่ที่สุดหลายอย่างเกิดขึ้นพร้อมกันอย่างบังเอิญ

 

รัฐบาลในขณะนี้ก็อยู่ในสภาพที่เจอกับ Perfect Storm

เริ่มจากการมาตกอยู่ในช่วงที่สหรัฐเปิดศึกการค้ากับจีน ที่ยืดเยื้อถึง 18 เดือน เริ่มตั้งแต่กลางปี 2561(สมัยยังเป็นรัฐบาล คสช.) และมามีผลกระทบมากสุดในปี 2562 (รัฐบาลประยุทธ์ 1) ทำให้การส่งออกซึ่งเป็นรายได้หลักของประเทศติดลบ 2.7% มีผลต่ออัตราเติบโตของเศรษฐกิจโดยรวม

หลังจากสหรัฐและจีนเซ็นข้อตกลงการค้าเฟสแรกไปเมื่อวันที่ 15 มกราคมปีนี้ ทำให้โลกและไทยโล่งอกว่า อย่างน้อยสถานการณ์จะไม่แย่ไปกว่านี้ ส่วนงบประมาณรายจ่ายปี 2563 ก็ผ่านสภาอย่างฉลุย ทำให้เกิดปัจจัยดีๆ มาส่งเสริมบรรยากาศเศรษฐกิจ หลังจากงบฯ ล่าช้ามาพอสมควรเพราะตั้งรัฐบาลช้า

แต่โล่งอกได้ไม่กี่วัน ส.ส.ประชาธิปัตย์ได้ออกมาแฉว่ามี ส.ส.บางคนของพรรคภูมิใจไทย ไม่ได้อยู่ในห้องประชุมสภาในวันที่มีการลงมติ น่าจะฝากคนอื่นเสียบบัตรลงคะแนนแทน ส่อเค้าจะมีผลให้พระราชบัญญัติงบประมาณเป็นโมฆะ ไม่สามารถเบิกจ่ายงบประมาณไปใช้ได้ ซ้ำเติมเศรษฐกิจที่ค่อนข้างแย่อยู่แล้ว

ถัดมาอีกไม่กี่วัน เจอสถานการณ์หนักกว่านั้น เมื่อเกิดการระบาดของไวรัสโคโรนาในเมืองอู่ฮั่นของจีนในช่วงใกล้ตรุษจีนพอดี ซึ่งส่งผลกระทบต่อไทยสองด้าน

กล่าวคือ ด้านหนึ่งก็ต้องมีภาระหนักในการพยายามควบคุมโรคไม่ให้แพร่กระจายในไทย

ส่วนอีกด้านหนึ่งก็คือกระทบต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยว เพราะจีนเป็นนักท่องเที่ยวหลักของไทย

สถานการณ์ในขณะนี้เรียกได้ว่ารัฐบาลเจอทั้งศึกนอก (ฝ่ายค้าน) ศึกใน (พรรคร่วมรัฐบาล) เจอทั้งปัจจัยที่ควบคุมได้และควบคุมไม่ได้

เมื่อมาบวกกับการเมืองที่เต็มไปด้วยความแค้นของฝ่ายค้านที่ฉวยโอกาสทุกสถานการณ์ขย่มรัฐบาลอยู่แล้ว Perfect Storm ในไทยจึงรุนแรงกว่า Perfect Storm ฉบับดั้งเดิมของฝรั่ง

ถ้าไม่รู้จักบริหารอารมณ์ของประชาชนให้ถูกจังหวะ ถูกสถานการณ์ในยุคที่เสพข่าวปลอมทางโซเชียลมีเดียเป็นกิจวัตรแล้วละก็ เห็นท่าจะแย่

อย่างที่เขาว่า โคโรนาไวรัสไม่น่ากลัวเท่ากับข่าวปลอมที่ “ไวรัล” (viral) ส่งต่อกันจนลุกลามเร็วยิ่งกว่าไฟป่าออสเตรเลีย

 

เขาถึงว่ากันว่า บางทีการเสพโซเชียลมีเดียทำให้คนเราโง่ลงทุกวัน เพราะไปเสพข้อมูลของคนโง่ เพราะคนโง่มักขยันโพสต์เรื่องไร้สาระมากกว่าคนฉลาด เหตุที่คนโง่ขยันโพสต์ก็เพราะไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนเองโพสต์นั้นมันเป็นเรื่องปลอม และไม่รู้วิธีหาข้อมูลที่ถูกต้องมาพิสูจน์สิ่งที่ได้ยินได้เห็นมา

กรณีโคโรนาไวรัส ผู้นำรัฐบาลอาจคิดว่าไม่อยากสร้างความตื่นตระหนก จึงปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรงทำงานไป โดยที่นายกฯ ไม่โผล่หน้าออกทีวีแถลงเป็นครั้งคราวบ้าง หรือออกมาอยู่ข้างหน้าบ้าง แต่นั่นก็กลายเป็นเหยื่อโอชะของฝ่ายค้าน รวมถึงประชาชนบางกลุ่มที่หาว่ารัฐบาลไม่กระตือรือร้น ไม่เห็นความสำคัญของชีวิตประชาชน

ความตื่นกลัวตื่นตระหนกส่วนใหญ่แล้วถูกกระพือโดย “ผู้อวดรู้แต่ไม่รู้” ที่มีโซเชียลมีเดียอยู่ในมือ รวมทั้งผู้ฉวยโอกาสทางการเมือง

เช่นกรณีพรรคเพื่อไทย ตั้งแต่หางแถวระดับ “ร.ท.หญิง” ไปจนถึงหัวแถวระดับ “คุณหญิง” ที่ออกมาโจมตีรัฐบาลเมื่อวันที่ 27 มกราคม หาว่าไม่จัดเครื่องบินไปรับนักศึกษาไทยในอู่ฮั่น โดยไม่เชื่อคำชี้แจงของรัฐบาลที่บอกว่ารัฐบาลเตรียมพร้อมหมดแล้ว เหลือเพียงการรออนุมัติจากจีน แล้วก็อ้างว่าทำไมประเทศอื่นๆ สามารถบินไปรับประชาชนของตัวเองกลับมาหมดแล้ว

แต่ในความเป็นจริงประเทศอื่นๆ เช่น สหรัฐ ฝรั่งเศส ที่แม้ออกข่าวล่วงหน้าหลายวันว่าจะส่งเครื่องบินไปรับพลเมืองของตนเอง แต่ในทางปฏิบัติ ได้รับอนุมัติจากจีนเมื่อวันที่ 27 มกราคม และออกบินไปรับในวันที่ 28 มกราคม และจะอพยพออกจากจีนได้ในวันที่ 29 มกราคม ดังนั้น ก่อนวันที่ 27 มกราคม ยังไม่มีประเทศใดสามารถบินไปรับพลเมืองตัวเองได้

หากใครเข้าใจพิธีการระหว่างประเทศว่าต้องมีขั้นตอนอะไรบ้างก็จะไม่โวยวายเกินเหตุ เพราะไม่ใช่ว่าอยากบินไปวันนี้ก็บินไปได้เลย หากเจ้าของประเทศเขาไม่อนุญาต เพราะอาจมีเหตุผลบางอย่าง เช่น ยังไม่ปลอดภัย หรือเขาไม่พร้อม เพราะสนามบินไม่เพียงพอที่จะรองรับ เราก็เข้าไปไม่ได้

จะสังเกตได้ว่าการแถลงข่าวในประเด็นดังกล่าวของพรรคเพื่อไทยเจือด้วยการโหนกระแสโจมตีรัฐบาลโดยโยงให้เป็นประเด็นการเมืองเพื่อ “อวยนายเก่า” ในทำนองว่าทำไมได้รับอนุมัติจากจีนช้า จะรอให้ทักษิณกับยิ่งลักษณ์ช่วยเจรจาให้หรืออย่างไรถึงจะเร็ว ก็ทำให้เห็น “ธาตุแท้” ของนักการเมืองน้ำเน่า ที่อ้างความห่วงใยประชาชนบังหน้า

แต่ที่แท้ก็แค่ฉวยโอกาส ทำให้สิ่งที่พูดมาทั้งหมดแทบจะไร้คุณค่า

 

ส่วนความเห็นของประชาชนบางคน หรือแม้กระทั่งผู้พิพากษาบางคน ที่ออกมากดดันให้รัฐบาลใช้มาตรการเด็ดขาดด้วยการห้ามคนจีนเข้าประเทศ อย่าเห็นแก่เงินรายได้จากการท่องเที่ยวนั้น ก็ดูเป็นอะไรที่ไร้เดียงสาและคิดง่ายๆ ตื้นๆ เกินไป

ลองคิดดู หากเราห้ามคนจีนเข้าประเทศในช่วงนี้ ต่อไปภายหน้าหากสถานการณ์เข้าสู่ปกติ คนจีนจะอยากมาเที่ยวเมืองไทยหรือไม่ และจะกระทบความสัมพันธ์ในด้านอื่นๆ ไปด้วย ไม่เฉพาะแค่เรื่องท่องเที่ยว เขาอาจเอาคืนด้วยการตอบโต้แบบเดียวกันหรือหนักกว่าก็เป็นได้ ถ้าถึงขั้นนั้นเราจะรับมือไหวไหม

ตอนเกิดโรคซาร์ส (เกิดจากไวรัสตระกูลโคโรนาเช่นกัน) เมื่อปี 2546 ซึ่งร้ายแรงกว่าโรคปอดอักเสบจากโคโรนาไวรัสตัวใหม่อย่างในขณะนี้ รัฐบาลไทยตอนนั้น (ทักษิณ ชินวัตร) ก็ไม่ได้ห้ามคนจีนเข้าประเทศเช่นกัน

ส่วนในระดับโลกก็ยังไม่มีประเทศไหนห้ามคนจีนแบบเหมารวม มีเพียงบางประเทศ เช่น มาเลเซีย ฮ่องกง สิงคโปร์ ที่ห้ามเฉพาะคนจีนจากมณฑลหูเป่ย (ที่ตั้งของเมืองอู่ฮั่น) เท่านั้นเข้าประเทศ ไม่ได้ห้ามเหมารวม

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางการอวดอ้างของพรรคเพื่อไทยบางคนว่าให้เอาตัวอย่างจากรัฐบาลยุคทักษิณในการรับมือโรคซาร์ส ก็สมควรบันทึกไว้ด้วยว่า การระบาดไข้หวัดนกในไทยเกือบทั่วประเทศเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2546 ไปจนถึงปี 2547-2548 ที่ทำให้มีคนตายมากกว่า 20 ราย เศรษฐกิจเสียหายอย่างหนัก รัฐบาลทักษิณถูกประชาคมโลกตำหนิอย่างหนักว่าปกปิดข้อมูล

ยุโรปนั้นถึงกับฉุนขาดเลยทีเดียว เพราะอดีตนายกฯ ทักษิณอ้างว่าไก่ที่ตายมากๆ เกิดจากโรคอหิวาต์ เมื่อหมดหนทางจะกู้ความเชื่อมั่น นายกฯ ทักษิณถึงกับต้องนำคณะรัฐมนตรีกินไก่โชว์

จะเห็นว่าในขณะนี้บางคนในพรรคเพื่อไทยพยายามอวดอ้างผลงานตัวเองเรื่องคุมโรคซาร์สในยุครัฐบาลทักษิณเพื่อหวังจะเกทับ แต่กลับละเลยไม่พูดถึงความล้มเหลวในการควบคุมโรคไข้หวัดนก

ส่วนรัฐบาลประยุทธ์ตอนนี้ หากอยากรอดพ้นภัยพิบัติจาก Perfect Storm ก็ต้องปรับการทำงานในเชิงรุก ทั้งในด้านประสิทธิภาพของงาน และการสื่อสารกับประชาชนที่ต้องฉับไวและทันควัน ไม่อย่างนั้นเจอพวกเฟกนิวส์ทางการเมืองตีกินหมด