ปอกเปลือก พีระพันธุ์-บิ๊กแดง คอนเน็กชั่น กุนซือบิ๊กตู่ สังกัดประเทศไทย รัฐธรรมนูญ Episode 1…ถ้าเอาการเมืองนำ Fail

อดีตเพื่อนร่วมรุ่น ส.ส.กทม. อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ติด 1 ใน 4 ส.ส.กทม. เมื่อปี 2539 อยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ตั้งแต่เป็น “ส.ส.สมัยแรก” กว่า 25 ปี

วันนี้ “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” ตัดสินใจทิ้งเก้าอี้ ส.ส. ลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ กระโดดมาร่วมงานกับรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ในตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี มีเพื่อน พี่ น้อง “ประชาธิปัตย์พลัส” เป็นขุมกำลังในพรรคพลังประชารัฐ

“พีระพันธุ์” ยอมรับว่า ไม่รู้ที่มา-ที่ไป “หมวกอีกใบ” ประธานกรรมาธิการวิสามัญศึกษาแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

“ตำแหน่งนี้ผมก็ไม่รู้ว่ามาได้อย่างไร วันที่ไปรายงานตัวกับท่านนายกฯ ท่านก็ไม่ได้พูดเรื่องนี้ จนถึงวันนี้ท่านไม่เคยมาพูดกับผมว่า ความคิดต่อการแก้รัฐธรรมนูญเป็นอย่างไร”

ทว่า “พีระพันธุ์” ตอบได้เต็มปากว่า การทำงานในตำแหน่งประธาน กมธ.วิสามัญศึกษาแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ “ไม่ได้รับคำสั่งจากใคร และไม่มีใครมาสั่ง”

“ผมได้พยายามทำหน้าที่อย่างเป็นกลาง ยึดประโยชน์ประชาชน ประเทศชาติ ผมต้องฟัง ไม่ใช่ชี้นำ เปิดโอกาสให้ทุกคนทำงานเต็มที่ เราแสดงความคิดเห็นคนสุดท้าย ไม่ใช่ประธานมาก่อนทุกเรื่อง ต้องเป็นธรรมและเป็นกลาง”

“พีระพันธุ์” ยอมรับว่า กมธ.วิสามัญศึกษาแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นเพียงขั้นตอนการศึกษาทางวิชาการ ไม่มีอำนาจชี้ขาดว่าควรแก้-ไม่แก้

“กมธ.ชุดนี้ ไม่ใช่ กมธ.แก้รัฐธรรมนูญ เราเป็นเพียงแค่ศึกษาทางวิชาการว่ามีเหตุที่ต้องแก้หรือไม่ ผลแก้อะไรบ้าง และควรจะแก้อย่างไร เพื่อเสนอรายงานต่อรัฐสภาและรัฐบาล”

“กรณีอื่นทั่วๆ ไป ไม่มีผลกระทบอะไร แต่กรณีนี้ต่างจากกรณีอื่น เพราะเป็นเรื่องของรัฐธรรมนูญ เป็นที่สนใจของประชาชน การขยับหรือการตัดสินใจของรัฐบาล ถ้าไม่รอบคอบเพียงพออาจมีผลกระทบได้”

ก่อนจะโยนถามประชาชน-ประชามติหากจะแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256 เพื่อปลดล็อก “เงื่อนไขของมาตรา 256 จะเป็นปัญหาต่อเมื่อ คนที่มีอำนาจตามมาตรา 256 ไม่เห็นสอดคล้องกับผู้ที่จะแก้ไข”

“พีระพันธุ์” ไม่ติดใจ “ข้อกังขา” ถูกส่งมา “คุมเกม” และ “ถือธง” ไม่แก้รัฐธรรมนูญ แต่ยืนยันว่า “ไม่มีใครสั่งผม ถ้าสั่งก็สั่งไม่ได้”

“ผมไม่เคยรับคำสั่งใคร ถ้าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ไม่ต้องสั่ง ผมทำเอง แต่ถ้าสิ่งไหนเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง สั่งให้ตายผมก็ไม่ทำ ผมยืนยันว่า ไม่มีใครมาสั่ง หรือมอบหมายให้ผมทำอย่างนั้นอย่างนี้”

“ผมไม่ได้ทำงานตามใบสั่งใคร ทำหน้าที่ด้วยความเป็นกลาง ถูกต้อง ถ้าผมทำให้เกิดความรู้สึกตรงกันข้าม ผมคงทำงานไม่ได้ คงตีกันตายไปหมดแล้ว”

“พีระพันธุ์” เปรียบการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็น “หนังเรื่องยาว” มีตอนที่ 1 – ตอนที่ 2 – ตอนที่ 3 และอยากให้ตอนที่ 1 จบแบบ happy ending ทุกฝ่ายมีความสุข-ได้ประโยชน์ โดยประชาชน ประเทศชาติเป็นที่ตั้ง

“ดูจากชื่อก็บอกแล้วว่า ยังไม่แก้ เป็นเพียงศึกษา ถ้าเปรียบเป็นภาพยนตร์ก็ตอนที่ 1 เหมือนเรื่อง Star War คนเล่นแก่หมดแล้ว แต่ถ้าสำรวจแล้วคนยังอยากดูอยู่ เขาก็มีตอนที่ 2 ตอนที่ 3”

“สิ่งที่คนอยากดูหนังเรื่องนี้ ไม่อยากดูเรื่องของคนอื่น แต่อยากดูเรื่องของตัวเอง ฉันได้อะไร ประชาชน คือคนดู หมายถึงประชาชนโดยรวมที่สนใจเรื่องว่าเขาได้อะไรก็สนใจอยากจะดูตอน 2 ไม่ใช่ประชาชนที่อินกับการเมือง สนใจแต่การเมือง”

สถานีต่อไป-เส้นทางของ “พีระพันธุ์” อดีตขาใหญ่-บิ๊กเนมประชาธิปัตย์ แม้จะจอดป้ายลงบนตึกไทยคู่ฟ้า-ทำเนียบรัฐบาล ที่มีพรรคพลังประชารัฐเป็นทัพหน้า

ทว่าอดีต ส.ส.-ลูกหม้อพรรคสีฟ้า-อยู่กับพรรคเก่าแก่กว่า 25 ปี “พีระพันธุ์” ยังไม่ตกลงปลงใจที่จะฝากชีวิตทางการเมืองไว้ที่พรรคพลังประชารัฐ

“เหตุผลที่ลาออกจากประชาธิปัตย์เป็นเรื่องส่วนตัว ไม่มีต้องไปตรงนั้น ตรงนี้ ไม่ได้คิดว่าจะมาอยู่ในตำแหน่งนี้ วันนี้มาก็ไม่ได้คิดว่าจะไปไหนต่อ วันนี้ทำให้ดีที่สุด มาเพื่อทำงาน ไม่ได้คิดว่ามาเพื่อก้าวต่อไป ไม่ได้คิดว่าต้องไปไหนต่อ”

“คำว่าการเมืองของผมไม่ได้หมายถึงต้องเป็น ส.ส. การทำงานการเมือง คือการทำงานให้ประชาชนและประเทศชาติ แม้ไม่ได้เป็น ส.ส. ไม่ได้แปลว่าหยุดงาน แม้ไม่มีตำแหน่ง ก็ยังทำงานการเมือง”

“พีระพันธุ์” จากนักการเมืองที่มีค่าย-มีสังกัด มาเป็น “นักการเมืองอิสระ” เขามองว่าไม่แตกต่าง เพราะที่ผ่านมาเขาไม่เคยมีสังกัด ในความหมายว่า “อยู่กับใคร”

“ผมไม่เคยมีสังกัด สังกัดในที่นี้หมายถึง อยู่กับใคร ผมอยู่พรรคประชาธิปัตย์ ผมก็ทำงานเพื่อประเทศชาติบ้านเมืองเป็นสำคัญ วันนี้ผมไม่ได้อยู่พรรคการเมืองไหนเลย ผมก็ยังทำงานให้กับประเทศชาติบ้านเมืองเป็นสำคัญเหมือนเดิม”

“หลักการทำงานของผม ผมสังกัดประเทศไทย อะไรที่เป็นประโยชน์ของประเทศไทย ผมสังกัดที่นั่น ผมไม่สังกัดพรรคโน้น พรรคนี้ เพราะถ้าเรารู้สึกว่าเราสังกัด เราก็จะเอาประโยชน์ของที่เราสังกัด แต่ถ้าสิ่งที่เราทำแล้วมันผิด ผมไม่ทำ”

“วันนี้ถ้าเอาการเมืองนำหน้า คุณ Fail คิดแบบโบราณ ทุกอย่างเป็นการเมือง คุณเตรียมตัวถึงจุดจบ ทุกพรรคต้องเปลี่ยน ถ้าไม่เปลี่ยนจะได้รับบทเรียนจากประชาชนเอง”

“พีระพันธุ์” ไม่มีปัญหาที่จะให้บันทึกความสัมพันธ์กับ “บิ๊กแดง” พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.)

“สนิท บอกคุณเลย ไม่มีปัญหา ผมกับแดงเป็นพี่-น้องกันมาตั้งแต่เด็ก เรารักกันแบบเป็นเพื่อนกันมา ผมอยู่โรงเรียนเซนต์คาเบรียลมาด้วยกัน เห็นกันมาตั้งแต่นุ่งขาสั้น ตั้งแต่เป็นเด็กๆ ไม่มีอนาคตว่าต่อไปใครเป็นอะไร ไม่ได้คบกันมาเพราะจะรู้ว่าเขาจะมาเป็น ผบ.ทบ. ไม่ได้คบกันมาเพราะว่าผมจะเข้ามาเป็นนักการเมือง คบกันมาแบบเด็กๆ เพื่อน พี่ น้อง

ทุกวันนี้ก็คบกัน ไม่ได้คุยเรื่องการเมืองกัน เพราะผมกับเขาไม่ได้คบกันเพื่อการเมือง แล้วแดงเขาเป็นคนไม่ชอบการเมือง แล้วเขาก็ไม่ชอบนักการเมือง แต่ผมไม่ได้คบกับเขาเพราะผมเป็นนักการเมือง หรือเขาเป็น ผบ.ทบ. ผมคบกันเพราะเขาเป็นน้องผม ผมเป็นพี่เขา คุยกันเฉพาะเรื่องพี่น้อง ไม่เคยคุยเรื่องการเมือง เจอกันก็เฮฮาทักทายกัน สมัยที่เราเคยเป็นเด็ก

“ผบ.ทบ.กับผมรู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก แล้วสมัยที่เขาเป็นนายทหารชั้นผู้น้อยไม่เคยเห็นมีใครสนใจเลยว่าผมรู้จักกับนายทหารชั้นผู้น้อยคนนี้ วันหนึ่งท่านเป็น ผบ.ทบ. ทำไมต้องกลายเป็นว่ามีประเด็นขึ้นมา ก็รู้จักกันมาแบบนี้ คบกันมาแบบนี้ตั้งแต่เด็กนักเรียน จนมาเป็นนักเรียนเตรียมทหาร จนเขาเป็นนักเรียนนายร้อย จนเป็นร้อยตรี เป็นทหารเล็กๆ ขึ้นมา ก็สนิทกันแบบเป็นพี่-น้องกอดคอกันมาแบบนี้ ธรรมดา”