อาชญากรรม | หนีร้อนไปพึ่งเย็น “บิ๊กโจ๊ก” ลาบวช ศึก “สีกากี” นี้วุ่นวายหนอ?

ยังคงเป็นเรื่องราวที่น่าติดตาม สำหรับศึกสีกากีระลอกใหม่เพิ่งเกิดขึ้น

โดยมีจุดอุบัติขึ้นมาจากเหตุยิงรถยนต์ของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล หรือบิ๊กโจ๊ก อดีตนายตำรวจคนดัง ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินสายให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนพุ่งเป้าไปที่การร้องเรียนให้สอบสวนความโปร่งใสของการจัดซื้อจัดจ้างระบบไบโอเมตริกซ์ของกองบัญชาการตรวจคนเข้าเมือง ที่เป็นเรื่องร้องเรียนอยู่ใน ป.ป.ช.

นอกจากนี้ยังมีความพยายามตั้งคำถามและเรียกร้องให้ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. รับผิดชอบทั้งในเรื่องจัดซื้อจัดจ้าง และคดียิงรถของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์

แต่ยังไม่ทันที่จะมีความคืบหน้าใดๆ ก็เกิดคำสั่งของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม

สั่งตรงถึงบิ๊กโจ๊กในฐานะที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้รักษาจรรยาและวินัยข้าราชการ ไม่ประพฤติชั่วร้ายแรง

กับอีก 2 คำสั่งย้าย 2 รอง ผบ.ตร. ซึ่งก็เชื่อว่าเชื่อมโยงกับกรณีนี้เช่นกัน

เป็นเหตุให้บิ๊กโจ๊กต้องเดินทางไปบวชที่อินเดีย แม้จะปฏิเสธว่าไม่ใช่เรื่องการเมือง แต่เป็นการทดแทนบุญคุณบุพการี

ก็ต้องรอดูกันต่อไปว่า การ “บวช” ครั้งนี้จะยุติปัญหา

หรือจะเกิดอะไรขึ้นตามมา!??

เปิดคำสั่ง “บิ๊กโจ๊ก” รักษาวินัย

วันที่ 24 มกราคม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ลงนามในคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 1/2563 เรื่อง ให้ข้าราชการรักษาจรรยาและวินัยข้าราชการ

ระบุว่า ตามที่ได้มีคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 2/2562 ลงวันที่ 9 เมษายน 2562 สั่งให้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ขาดจากการเป็นข้าราชการตำรวจ และให้โอนไปเป็นข้าราชการพลเรือนเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในกรอบอัตรากำลังชั่วคราวเป็นกรณีพิเศษในสำนักนายกรัฐมนตรี ตามมาตรการแก้ไขปัญหาเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ระหว่างถูกตรวจสอบซึ่งเป็นตำแหน่งที่ได้รับเฉพาะเงินเดือน โดยไม่ได้รับเงินประจำตำแหน่งและสิทธิประโยชน์ประจำตำแหน่งนั้น

เพื่อให้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์รักษาจรรยาและวินัยข้าราชการ และเพื่อให้การปฏิบัติงานของข้าราชการดังกล่าวเป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง อาศัยอำนาจตามข้อ 1(1) ของบัญชี หน้าท้ายคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 9/2562 ลงวันที่ 9 กรกฎาคม 2562 มาตรา 87 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551 และหนังสือสำนักงาน ก.พ. ที่ นร 1011/ว 12 ลงวันที่ 21 สิงหาคม 2556 นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอำนาจสั่งบรรจุและแต่งตั้งจึงเห็นสมควรกำชับให้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์รักษาจรรยาและวินัยข้าราชการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเหตุดังต่อไปนี้

1. ไม่กระทำการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ไม่ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยทุจริต ไม่รายงานเท็จต่อผู้บังคับบัญชา ไม่ปฏิบัติราชการอันเป็นการกระทำการข้ามผู้บังคับบัญชาเหนือตน ไม่อาศัยตำแหน่งหน้าที่ราชการของตนหาประโยชน์แก่ตนเองและผู้อื่น ไม่ประมาทเลินเล่อในหน้าที่ราชการ ไม่ละทิ้งหรือทอดทิ้งหน้าที่ราชการ ไม่กระทำการอันเป็นการกลั่นแกล้ง กดขี่ ข่มเหงกันในการปฏิบัติราชการ ไม่ดูหมิ่นเหยียดหยามประชาชน

2. ปฏิบัติหน้าที่ราชการให้เป็นไปตามกฎหมาย กฎระเบียบ ของทางราชการ ด้วยความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้ อุทิศเวลาของตนให้แก่ราชการ รักษาความลับของทางราชการ มีความสุภาพ เรียบร้อย รักษาความสามัคคี ช่วยเหลือการปฏิบัติราชการระหว่างข้าราชการด้วยกันและผู้ร่วมปฏิบัติราชการ

ทั้งนี้ ให้ข้าราชการดังกล่าวปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ แต่ให้งดการมอบหมายงานพิเศษและสำคัญ และหากมีกรณีไม่รักษาจรรยาและวินัยข้าราชการ ให้ผู้บังคับบัญชาดำเนินการทางวินัยต่อไป

เป็นคำสั่งกำชับการปฏิบัติหน้าที่ ที่ไม่ค่อยเห็นในระบบราชการไทย

บินอินเดีย-ขอลาบวชทันที

ขณะที่นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า หลังจากที่คำสั่งออก พล.ต.ท.สุรเชษฐ์เดินทางมารับทราบคำสั่งเรียบร้อย

 

ก่อนที่จะยื่นหนังสือลากิจถึงวันที่ 9 กุมภาพันธ์ แล้วเดินทางพร้อมครอบครัวไปยังอินเดียเพื่อขออุปสมบทที่วัดไทยพุทธคยา พร้อมระบุว่าเป็นการบวชเพื่อทดแทนคุณพ่อ-แม่ เป็นการวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ ไม่ได้เป็นเรื่องการเมืองแต่อย่างใด

ส่วนนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ คงไม่ได้ใช้สิทธิลาบวช แต่ข้าราชการสามารถลากิจได้ไม่เกิน 10 วันอยู่แล้ว ซึ่ง พล.ต.ท.สุรเชษฐ์สามารถลาได้ และไม่กระทบต่อราชการ เพราะคำสั่งก็ระบุไว้แล้วว่าห้ามไม่ให้มอบหมายงานสำคัญ

จากนั้นเมื่อวันที่ 28 มกราคม พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล หรือบิ๊กโจ๊ก ได้เข้าพิธีอุปสมบทแล้วที่วัดไทยพุทธคยา ประเทศอินเดีย ได้ฉายาสุรเชฏฺฐโพธิ แปลว่า ผู้มีปัญญาเครื่องตรัสรู้ซึ่งเจริญที่สุดด้วยความกล้าหาญ

อย่างไรก็ตาม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ก็ระบุว่า ถึงกรณี พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ยื่นใบลาเพื่อขอลาไปอุปสมบทที่ประเทศอินเดียว่า ยืนยันว่าไม่ได้มาลาตนก่อนไปบวช อีกทั้งยังไม่ได้มีการพูดคุยหรือเจอกับ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หลังมีคำสั่งเตือนของนายกฯ ออกมา

“ไม่ได้เจอกันนานแล้ว เพราะเขาก็ไปทำงานของเขา ยอมรับว่าก่อนหน้านี้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ทำงานอยู่กับผม แต่หลังจากที่ออกไปแล้วเขาก็ไปทำงานในส่วนอื่น ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับผมอีก”

ส่วนที่ระบุว่าคำสั่งเตือนการปฏิบัติหน้าที่ จะสร้างรอยร้าวระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตรนั้น พล.อ.ประวิตรระบุว่า “ไม่มี เรื่องเรากับนายกฯ เลิกพูด เพราะอยู่กันมาตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่เราเป็น ร.อ. และ ร.ต. อยู่ด้วยกันมาตลอดจนเกษียณอายุราชการ”

ส่วนที่นายกฯ จะตัดสินใจทำอะไรก็มาคุยกันทุกเรื่อง รวมทั้งเรื่องการเตือน พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ด้วย

เป็นความสัมพันธ์ที่ไม่เหมือนเดิม

เด้งรูด 2 รอง ผบ.ตร.

ไม่เพียงแค่นั้น ยังมีบิ๊ก ตร.ระดับรอง ผบ. ถูกสั่งย้ายในช่วงเดียวกัน ประกอบด้วย พล.ต.อ.ชัยวัฒน์ เกตุวรชัย รอง ผบ.ตร. ที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์มีคำสั่งให้ไปปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อาคาร 1 ชั้น 20 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยขาดจากการปฏิบัติหน้าที่ทางตำแหน่งเดิม เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามที่ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตั้งแต่วันที่ 23 มกราคม

ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี โดยระบุว่า จากกรณีสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รายงานว่า พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รอง ผบ.ตร. มีพฤติการณ์และการกระทำซึ่งส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชนเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ ในการอำนวยการยุติธรรม กระทบต่อภาพลักษณ์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และการปฏิบัติราชการของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นเหตุให้ราชการเสียหาย สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบแล้ว

เพื่อประโยชน์แก่การตรวจสอบเรื่องดังกล่าวและเรื่องอื่นๆ ในมูลกรณีที่ประชาชนร้องเรียนเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติอยู่ระหว่างตรวจสอบให้เป็นไปอย่างโปร่งใสมีความน่าเชื่อถือ และเพื่อให้เป็นที่ยอมรับแก่ประชาชนและผู้ร้องเรียน สมควรพิจารณาสั่งการให้ พล.ต.อ.วิระชัยไปปฏิบัติราชการนอกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

มีคำสั่งให้ พล.ต.อ.วิระชัยมาปฏิบัติราชการสำนักนายกรัฐมนตรี โดยไม่ขาดจากอัตราเงินเดือนทางสังกัดเดิม และให้ได้รับเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง เงินเพิ่มพิเศษและสิทธิประโยชน์อื่นใดไม่ต่ำกว่าที่ได้รับอยู่เดิม โดยเบิกจ่ายจากสังกัดเดิม ตั้งแต่วันที่ 23 มกราคม

ต่อด้วยพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้นายตำรวจชั้นสัญญาบัตรพ้นจากการปฏิบัติหน้าที่นายตำรวจราชองครักษ์ ประกอบด้วย 1.พล.ต.อ.ชัยวัฒน์ และ 2.พล.ต.อ.วิระชัย ตั้งแต่วันที่ 21 มกราคม

สำหรับประเด็นการโยกย้ายที่สะเทือนวงการสีกากีครั้งนี้ เชื่อว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับกรณีที่ 2 คนร้ายขี่จักรยานยนต์ยิงถล่มรถเก๋งเลกซัสของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ เมื่อวันที่ 6 มกราคมที่ผ่านมา

หลังจากเกิดเหตุ พล.ต.อ.วิระชัยก็เดินทางไปคุมคดีด้วยตัวเอง ส่วน พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ก็ยืนยันทันทีว่าเกิดจากปมร้องเรียนทุจริตไบโอเมตริกซ์ที่อยู่ใน ป.ป.ช. ตามมาด้วยเสียงคลิปหลุดของบิ๊ก ตร. ที่สั่งการเกี่ยวกับคดีดังกล่าว

ชัดเจนว่าพุ่งเป้าไปที่ตัว ผบ.ตร.อย่างไม่กระมิดกระเมี้ยน

แต่แทนที่เก้าอี้ ผบ.ตร.จะสั่นคลอน กลับเป็นเหล่าบิ๊ก ตร.ที่ถูกย้ายกันระเนระนาด

ส่วนจะกลายเป็นหนังชีวิต มีพลิกผันอีกหรือไม่ ต้องติดตามด้วยใจระทึก