เผยแพร่ |
---|
สถานีคิดเลขที่ 12 / สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร
————————–
ปิดสภากำจัดไวรัส
————————–
ทบทวนให้อีกครั้ง
สำหรับคนที่ไม่ได้อ่าน ผลสำรวจการประเมินผลกระทบ5 ปัจจัยที่มีต่อเศรษฐกิจไทยในปี 2563
ที่นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยไปเมื่อวันที่ 30 มกราคม ที่ผ่านมา
ปัจจัยที่ 1 ผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ กระทบเศรษฐกิจ 1.17 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 0.67% ของ GDP
ปัจจัยที่ 2 ความล่าช้าของงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563
หากเบิกจ่ายงบประมาณช้าไป 6 เดือน คือเริ่มเบิกจ่ายจริงได้ ในเมษายน 2563 จะทำให้เม็ดเงินในระบบหายไป 77,500 ล้านบาท กระทบ จีดีพี 0.44%
หากล่าช้าไป 8 เดือน เบิกจ่ายจริงได้มิถุนายน 2563 เม็ดเงินในระบบจะหายไป 167,000 ล้านบาท กระทบ จีดีพี 0.96%
ปัจจัยที่ 3 ผลกระทบความเชื่อมั่นในประเทศ ประชาชนงดกิจกรรมนอกบ้าน การเดินทาง และความต้องการซื้อสินค้า ท่องเที่ยว น้อยลง จากเหตุระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หากควบคุมการแพร่ระบาดได้ภายในเดือนมีนาคม 2563 จะมีผลกระทบราว 15,500 ล้านบาท หรือกระทบต่อ จีดีพี ที่จะลดลง 0.09%
ปัจจัยที่ 4 ปัญหาภัยแล้งและฝนทิ้งช่วง ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไม่เกิน 10,200 ล้านบาท หรือกระทบต่อ GDP ให้ลดลง 0.06%
ปัจจัยที่ 5 ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 โดยเชื่อว่าหากสถานการณ์ไม่ยืดเยื้อนานไปกว่า 1 เดือน จะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยไม่เกิน 6,200 ล้านบาท หรือกระทบต่อ GDP ให้ลดลง 0.04%
5 ปัจจัยหลัก รวมแล้วจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในปีนี้ คิดเป็นมูลค่าความเสียหายราว 2.26 แสนล้านบาท หรือกระทบต่อ GDP ราว 1.3%
มากมายมหาศาลจริงๆ
แต่พยายามทำใจ ด้วย 5 ปัจจัย ข้างต้น ส่วนใหญ่มาจากภัยธรรมชาติ และ โรคภัยไข้เจ็บ ที่ควบคุมยาก
ใครมาเป็น ผู้นำ หรือรัฐบาล คงต้องกุมขมับทั้งนั้น
กระนั้นก็ตาม มีปัจจัยหนึ่ง ที่ทำใจแล้ว อย่างไร-อย่างไร ก็รับไม่ได้
นั่นคือ ความเสียหายจากปัจจัยที่ 2 ความล่าช้าของงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563
ที่มาจากความผิดพลาดของ รัฐบาลผสม 19 พรรค เต็มๆ
จะประชดประชันเรียกว่า ไวรัสตู่ฮั่น ก็ได้
เพราะทั้ง 19 พรรค มีฉันทามติ พร้อมด้วยการดีไซน์ และนานาปาฏิหารย์ จนทำให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สืบทอดการเป็นนายกรัฐมนตรี สมัยที่ 2 อย่างทุลักทุเล
เสียงปริ่มน้ำแค่ไหน ก็กระเสือกกระสนผลักดันจนเป็นนายกฯ จนได้
แม้จะรู้ว่าจะมีปัญหาติดตามมามากแค่ไหนก็ไม่สน
หนึ่งในนั้นก็คือ ทำอย่างไรก็ได้ ต้องทำให้เสียงโหวตปริ่มน้ำผ่านสภาไปให้ได้
อันนำมาสู่ ปัญหาอื้อฉาว การเสียบบัตรแทนกันของส.ส. ในตอนนี้
ซึ่งตอนนี้ มิใช่ วิกฤตใหญ่เฉพาะเรื่องที่ทำให้ พ.ร.บ.งบประมาณ 2563 อาจเป็นโมฆะ หรือล่าช้า เท่านั้น
หากแต่เริ่มมีข้อมูลปรากฏว่า มีการเสียบบัตร ในหลายร่างกฎหมาย
จนอาจทำให้คิดไปไกลได้ว่า วิธีการอันโสมมเช่นนี้ อาจเป็นวิธีการแก้ปัญหาเสียงปริ่มน้ำของสภายุคนี้ก็ได้
ทั้งที่ ส.ส.จำนวนมากตอนนี้ เคยประณามหยามเหยียด สภาชุดก่อนว่าใช้วิธีการสกปรกและส่งศาลรัฐธรรมนูญพิฆาตรัฐบาลก่อนหน้านี้จนซวดเซมาแล้ว
แต่พอถึงตัวเอง กลายเป็น”อิเหนาเมาหมัด” เอามาใช้กันโจ๋งครึ่ม
และกำลังก่อผลเสียหายต่อประเทศอย่างร้ายแรง
ตัวเลขระหว่าง 7.7หมื่นล้าน-1.67 ล้าน ที่เกิดจากความโสมม เสียบบัตรแทนกัน นี้ ยากจะทำใจรับจริงๆ
และคิดเลยเถิดว่าเราจะปิดสภาฆ่าไวรัสตู่ฮั้น นี้อย่างไร ให้เด็ดขาดเสียที