ใครคือเบื้องหลัง ? ผู้ปิดคดีดัง “ชิงทองลพบุรีดับ 3” หลังระดมนักสืบพระกาฬ ลับลวงพรางรวบ “ผอ.ร.ร.”

ล่วงเลยมากว่า 2 สัปดาห์ นับตั้งแต่วันที่ 9 มกราคม 2563 เวลาประมาณ 20.47 น. โจรใจเหี้ยมใช้อาวุธปืนยิงเจ้าหน้าที่ รปภ. และประชาชน ก่อนเข้าไปชิงทองที่ร้านทองออโรร่า ภายในห้างสรรพสินค้าโรบินสัน จ.ลพบุรี มีผู้เสียชีวิต 3 ราย และได้รับบาดเจ็บสาหัส 4 ราย แล้วหลบหนีไปอย่างลอยนวล

ย่างเข้าสู่วันที่ 14 ซึ่งตรงกับวันที่ 22 มกราคม ตำรวจจับนายประสิทธิชัย เขาแก้ว ผู้อำนวยโรงเรียนแห่งหนึ่งที่สิงห์บุรีได้

เป็นข่าวที่ใครๆ ต้องอ้าปากเอามือทาบอก เพราะนึกไม่ถึง หักปากกาเซียนโลกโซเชียลทั้งหลายที่มโนว่าผู้ต้องหาต้องเป็นคนมีสี หรือคนที่คลั่งไคล้การใช้อาวุธปืน

เพราะดูจากอากัปกิริยาจังหวะเข้าไปชิงทองที่ถูกบันทึกไว้ได้จากกล้องวงจรปิดภายในห้าง

ต้องยอมรับคดีนี้เป็นโจทย์ยากสำหรับเจ้าหน้าที่ตำรวจ

หลังเกิดเหตุ “บิ๊กแป๊ะ” พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ได้สั่งระดมทีมนักสืบฝีมือระดับพระกาฬ ที่เรียกกันว่า “ชุดดรีมทีม” ลงไปควบคุมดูแลหวังนำตัวโจรรายนี้มาลงโทษ

ไม่ว่าจะเป็น พล.ต.อ.ชัยวัฒน์ เกตุวรชัย รอง ผบ.ตร., พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รอง ผบ.ตร., พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รอง ผบ.ตร., พล.ต.ท.รณศิลป์ ภู่สาระ ผบช.ภ.9, พล.ต.ท.อำพล บัวรับพร ผบช.ภ.1, พล.ต.ต.อิทธิพล อัจฉริยะประดิษฐ์ รอง ผบช.น., พล.ต.ต.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบช.ก., พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช ผบก.ป., พ.ต.อ.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบก.สส.บช.น., พ.ต.อ.จิรกฤต จารุนภัทร์ ผกก.ดส., พ.ต.อ.อรุณ วชิรศรีสุกัญญา ผกก.2 บก.ป. พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ร่วมประชุมแบ่งหน้างานทั้งหมด 25 หน้างาน เพื่อเก็บหลักฐานทางคดี อาทิ ไล่กล้องวงจรปิดกว่า 1,000 ตัว หาเส้นทางหลบหนีของคนร้าย ตรวจสอบรูปพรรณของคนร้ายและผู้ต้องสงสัย ตรวจสอบผู้ครอบครองปืน CZ P-01 ส่งตรวจรองเท้ายี่ห้อ adidas รุ่น tubular x primeknit สีดำ ซึ่งเป็นรองเท้ารุ่นเดียวกับที่คนร้ายใช้ก่อเหตุ ตรวจหารถจักรยานยนต์ยามาฮ่ารุ่นฟีโน่ สีแดง-ขาว เบาะสีน้ำตาล ล้อแม็กสีดำ ที่คนร้ายใช้เป็นพาหนะในการหลบหนี เพื่อนำมาประกอบเข้าในสำนวนการสอบสวนเพื่อเตรียมออกหมายจับคนร้าย

ตลอด 2 สัปดาห์จะเห็นว่า ผบ.ตร.นั่งเฮลิคอปเตอร์ไปประชุมติดตามความคืบหน้าแทบทุกวัน

รวมถึงสนับสนุนค่าใช้จ่ายจำนวนมากในการสืบสวนสอบสวน

แม้ในวันแรกๆ เหมือนจะยังจับต้นชนปลายไม่ถูก เพราะคนร้ายรายนี้ทำตัวเหมือนล่องหน แทบไม่ทิ้งหลักฐานไว้ให้ตามตัว

แต่ภายหลังสังเกตจากใบหน้ายิ้มแย้มของ ผบ.ตร. ที่ดูผ่อนคลายลงจากวันแรกๆ หยอดมุขเรียกเสียงหัวเราะให้กับสื่อมวลชน ไม่ว่าจะเป็นมุข “จะจับได้ภายใน 2 วัน ไม่วันคู่ก็วันคี่” หรือ “จะจับได้ภายใน 7 วัน วันจันทร์-ศุกร์” คงใกล้มีข่าวดี

แต่แล้วภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ไม่มีอะไรที่ตำรวจไทยทำไม่ได้

ตั้งแต่เกิดเหตุ “บิ๊กก้อง” พล.ต.ต.จิรภพได้สั่งการ พ.ต.อ.อรุณ วชิรศรีสุกัญญา ผกก.2 บก.ป. พร้อม พ.ต.อ.บุญลือ ผดุงถิ่น ผกก.3 บก.ป. และ พ.ต.อ.วิจักษ์ ตารมย์ ผกก.สสน.บก.ป. นำกำลังลงพื้นที่เข้าร่วมกับตำรวจจากหลายหน่วยเพื่อคลี่คลายคดี

ก่อนหน้าจับกุมประมาณ 1 สัปดาห์ เจ้าหน้าที่ได้เบาะแสจากพลเมืองดีว่า นายประสิทธิชัยน่าจะเป็นผู้ต้องสงสัยมากที่สุด พร้อมกับระบุหลักฐานต่างๆ ที่ชวนสงสัยให้เจ้าหน้าที่ทราบด้วย

ผ่านไป 7 วันหลังเหตุการณ์คนร้ายชิงทอง ได้เริ่มรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ จนค่อนข้างชัดเจน โดยเฉพาะเรื่องอาวุธปืนที่คนร้ายนำมาใช้ก่อเหตุ ได้นำรายชื่อผู้ครอบครองอาวุธปืนยี่ห้อดังกล่าว พบชื่อพ่อนายประสิทธิชัยซึ่งเป็นตำรวจนอกราชการ เป็นผู้ครอบครองปืนชนิดดังกล่าวด้วย

ประกอบกับเจ้าหน้าที่ยังได้หลักฐานอื่นๆ ที่สามารถเชื่อมโยง จนทำให้น่าเชื่อว่านายประสิทธิชัยเป็นผู้ก่อเหตุดังกล่าวจริง

พล.ต.อ.จักรทิพย์จึงสั่งการให้พนักงานสอบสวนของกองปราบฯ รวบรวมหลักฐานไปขอหมายจับจากศาลอาญา โดยห้ามไม่ให้มีข่าวหลุดออกไปโดยเด็ดขาด

กระทั่งศาลได้อนุมัติออกหมายจับให้ไปเมื่อค่ำวันที่ 21 มกราคมที่ผ่านมา

หลังศาลออกหมายจับแล้ว พล.ต.ต.จิรภพได้สั่งการให้ พ.ต.อ.วิจักษ์นำเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการ กก.สนับสนุน บก.ป. หรือชุดปฏิบัติการพิเศษ “หนุมาน” ตามแกะรอยประกบตั้งแต่ที่บ้านพักของผู้ต้องหาในพื้นที่ จ.ลพบุรี และขณะเดินทางไปสอนหนังสือที่โรงเรียนแห่งหนึ่งใน จ.สิงห์บุรี

กระทั่งเช้าวันที่ 22 มกราคม เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการพร้อมยุทโธปกรณ์ครบมือเฝ้าสังเกตการณ์ กระทั่งเห็นนายประสิทธิชัยขับรถเก๋งบีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 5 สีดำ ทะเบียน 7 กณ 493 กทม. ออกจากบ้านพัก จึงได้สะกดรอยตาม

จนถึงบริเวณทางหลวงสาย 311 ต.ท่าวุ้ง อ.ท่าวุ้ง จ.ลพบุรี เมื่อสบโอกาสจึงแสดงตัวเข้าจับกุมทันที

ปรากฏว่าผู้ต้องหาไม่มีท่าทีขัดขืนหรือต่อสู้ เชื่อว่าอาจไม่ทันระวังตัว เพราะที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ปล่อยข่าวมาตลอดว่าคนร้ายอาจหลบหนีไปทางชายแดนแล้ว

เป็นการลับลวงพรางของชุดนักสืบดรีมทีม

ทำให้นายประสิทธิชัยเชื่อว่าตำรวจยังไม่รู้แน่ๆ ว่าคนร้ายเป็นใคร จึงถูกจับกุมได้โดยง่าย